Credit: DNP

คำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีพื้นที่ทับซ้อน ณ อุทยานแห่งชาติทับลาน

ปลายปี 2562 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยและเสนอแนะ “เส้นปรับปรุงการสำรวจแนวเขตปี พ.ศ. 2543” เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในอุทยานแห่งชาติทับลาน ก่อนที่จะมีการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรีในเวลาต่อมา จนกลายมาเป็นมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 14 มีนาคม 2566 ซึ่งก่อให้เกิดประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะโดยกรมอุทยานฯ ในระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน ถึง 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากอาจส่งผลให้อุทยานแห่งชาติทับลานสูญเสียพื้นที่อุทยานฯ ตามกฏหมายถึงกว่า 2.6 แสนไร่ และเอื้อประโยชน์ต่อนายทุนที่ครอบครองพื้นที่อย่างผิดกฏหมายและต่อรูปคดีอีกกว่า 400 คดีที่กำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอยู่ในเวลานี้

Credit: DNP

Bangkok Tribune ได้ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง พบข้อเท็จจริง ดังนี้

  • ผู้ตรวจฯ รับเรื่องร้องเรียนกรณีอุทยานฯ ทับที่ราษฏรในพื้นที่หลายครั้งตั้งแต่ปี 2554 จนกระทั่งกรณีล่าสุดในปี 2561 ที่มีกลุ่มราษฎรที่มีเอกสารสิทธิในที่ดินและในการใช้ประโยชน์ในที่ดินประเภทต่างๆ ยื่นเรื่องร้องเรียนตรวจสอบประเด็นปัญหาที่ยังไม่ได้ข้อยุติกับทางราชการอีกครั้ง
  • จากการตรวจสอบกับราษฎรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทางผู้ตรวจฯ ได้แยกกลุ่มปัญหาออกเป็น 3 พื้นที่ 3 กรณี ได้แก่ พื้นที่ทับซ้อนระหว่างเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกับอุทยานแห่งชาติทับลาน, พื้นที่ทับซ้อนระหว่างราษฎรที่อยู่อาศัยมาแต่เดิมกับอุทยานแห่งชาติทับลาน, และพื้นที่ทับซ้อนระหว่างอุทยานแห่งชาติทับลานกับพื้นที่เพื่อความมั่นคงในพื้นที่ (โครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคงในพื้นที่ (พมพ.) และโครงการจัดที่ดินทำกินให้กับราษฎรผู้ยากไร้ฯ (คจก.))
  • ผู้ตรวจฯ พบว่า พื้นที่แรก ครอบคลุมป่าสงวนแห่งชาติวังน้ำเขียว 2 แปลง ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของอุทยานฯ (อุทยานแห่งชาติทับลาน มีเนื้อที่ราว 1.4 ล้านไร่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศและเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกเขาใหญ่-ดงพญาเย็น โดยได้ประกาศเป็นอุทยานฯ ในปี 2524 บนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีการประกาศมาตั้งแต่ ปี 2509 ถึง 2516 ซึ่งได้แก่ ป่าวังน้ำเขียว ป่าภูเขาหลวง ป่าครบุรี ป่าแก่งดินสอ ป่าแก่งใหญ่ และป่าเขาสะโตน ก่อนหน้านั้น ผืนป่าเหล่านี้ยังได้ถูกกำหนดให้เป็นป่าไม้ถาวรมาก่อนอีกชั้นหนึ่งด้วยตามมติคณะรัฐมนตรีในปี 2506)
  • ปี 2518 มีการออกกฏหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และสำนักงาน ส.ป.ก. เริ่มมีการประกาศเขตปฏิรูปที่ดินในบางอำเภอ อาทิ นาดี กบินทร์บุรี และบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี (การประกาศเขตปฏิรูปฯ ดังกล่าว ไม่สามารถเพิกถอนสถานะป่าสงวนฯ และกลายเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ส.ป.ก ทันที ความสมบูรณ์ของเขตปฏิรูปฯ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ส.ป.ก. มีแผนและงบประมาณในการดำเนินการแล้ว, อ้างอิง พรบ. ส.ป.ก.)
  • ในช่วงเวลาระหว่างปี 2520-2523 ส.ป.ก. เริ่มเดินหน้างานปฏิรูปที่ดินตามมติ ครม. ปี 2519-20 โดยดำเนินการในป่าวังน้ำเขียวซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แปลง มีการตั้งหมู่บ้านไทยสามัคคีเพื่อความมั่นคงในพื้นที่ แต่ปรากฏว่า ในการสำรวจรังวัดแปลงที่ 2 มีการล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าตอนล่างบางส่วนคือ แก่งดินสอ แก่งใหญ่ และเขาสะโตน ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้มีการอนุมัติและไม่มีการส่งมอบป่าให้ ส.ป.ก. ไปดำเนินการในส่วนนี้
Credit: ผู้ตรวจการแผ่นดิน
  • ในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างราษฏรที่อยู่อาศัยมาแต่เดิมกับอุทยานฯ ในบริเวณป่าวังน้ำเขียวแปลงที่ 2 ทางผู้ตรวจฯ พบหมู่บ้านที่ตั้งอยู่มาก่อนด้วยทั้งในและนอกแปลงโดยสามารถย้อนไปได้ถึงปี 2457 ที่มี พรบ. ปกครองท้องที่ (อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจฯ ไม่ได้อ้างอิงถึงเอกสารหลักฐานสิทธิในที่ดินและการจดแจ้งการครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินตามกฏหมายป่าไม้แต่อย่างใด)
  • ทั้ง 2 พื้นที่ทับซ้อน ผู้ตรวจฯ ระบุถึงการครอบครองและใช้ประโยชน์พื้นที่โดยรีสอร์ตและร้านอาหารที่พบว่า “มีเพียงส่วนน้อย” โดยไม่มีข้อมูลรายละเอียดประกอบแต่อย่างใด (ข้อมูลจากกรมอุทยานฯ กลับระบุว่า มีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้บุกรุกอุทยานฯ ไปแล้ว 493 ราย ยังไม่นับผู้ประกอบการรายย่อยๆ อีกจำนวนมาก รวมพื้นที่บุกรุกอย่างน้อยประมาณ 11,068 ไร่ ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้สามารถยึดคืนและรื้อถอนอาคารไปได้เพียง 130 ราย ผู้ประกอบการหลายๆ รายใช้วิธีฟ้องศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราว)
  • ในพื้นที่สุดท้ายซึ่งเป็นพื้นที่เพื่อความมั่งคงทางทหารคือ โครงการ พมพ. และ คจก. ทางตอนบนของอุทยานฯ หน่วยงานทหารเข้ามาดำเนินการในช่วงหลังการประกาศเขตอุทยานฯ คือช่วงระหว่างปี 2525-2533 และ 2533-2535 และมีการดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ โดยผู้ตรวจฯ พบว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการฯ ยังอยู่ในอุทยานแห่งชาติทับลาน และยังไม่มีหลักฐานว่ากรมป่าไม้ได้ส่งมอบพื้นที่ให้ทาง ส.ป.ก. ดำเนินการแต่อย่างใด
  • ในปี 2535 มีมติ ครม.ให้มีการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินในป่าสงวนฯ ออกเป็นโซนรวมถึงโซนอนุรักษ์ หรือ Zone C ซึ่งถูกประกาศทับพื้บที่ทับซ้อนไปด้วยบางส่วน
  • ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบ ทำให้ผู้ตรวจฯ สรุปสภาพปัญหาว่า การกำหนดแนวเขตอุทยานฯ ตามพระราขกฤษฏีกาปี 2524 ได้รวมและทับซ้อนที่ทำกินของราษฎรที่อยู่มาก่อนและ ส.ป.ก. จึงมีข้อเสนอแนะให้นำเส้นปรับปรุงการสำรวจแนวเขตปี 2543 ซึ่งผู้ตรวจฯ อ้างว่าเป็นไปตามมติ ครม. 22 เมษายน 2540 ที่ให้มีการปรับปรุงแนวเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์มาใช้ ทั้งนี้ การตรวจสอบประเด็นปัญหาสิทธิในที่ดินที่มีเอกสารหลักฐานในที่ดินตามที่ร้องเรียน พบว่า ไม่มีปัญหาทับซ้อนกับทางอุทยานฯ แต่อย่างใด
  • นอกจากการนำเส้นปรับปรุงแนวเขตปี 2543 มาใช้แล้ว ทางผู้ตรวจฯ ยังได้เสนอให้มีการยกเลิกสถานภาพป่าสงวนฯ และป่า Zone C ในพื้นที่ที่กันออกในพื้นที่ทับซ้อนทั้ง 3 แห่ง เพราะสถานะเดิมของผืนป่ายังอยู่ ก่อนจะให้ส่งมอบให้ ส.ป.ก. ไปดำเนินการต่อ (สถานะของผืนป่าเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาประมวลในข้อโต้แย้งของการพิสูจน์สิทธิแต่อย่างใด มีเพียงความเป็นอุทยานแห่งชาติซึ่งถูกจัดตั้งหลายปีหลัง) ทั้งนี้ ผู้ตรวจฯ ระบุว่า จะมีพื้นที่กันออกราวประมาณ 273,310 ไร่ แต่อุทยานฯ จะได้พื้นที่ป่าคืนประมาณ 110,172 ไร่
Credit: DNP/ คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ 2567
  • ข้อมูลจากการชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรมอุทยานฯ พบว่า เส้นปรับปรุงแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานฯ มีการจัดทำตามช่วงเวลาและจุดประสงค์มาตั้งแต่ปี 2537 โดยเริ่มจากการร้องขอของหน่วยงานทหารที่ต้องการทำขอบเขตพื้นที่โครงการฯ พื้นที่ความมั่นคงให้ชัดเจน และมีการดำเนินการเป็นช่วงๆ ของพื้นที่ ไม่ปะติดปะต่อกัน
  • การจัดทำเส้นปรับปรุงแนวเขตของทับลานในภาพรวม มีการจัดทำโดยกรมป่าไม้สมัยนั้นในปี 2543 โดยอิงเส้นเดิมที่เคยทำมา ซึ่งได้ระยะทางทั้งหมดประมาณ 456 กิโลเมตร รวมเนื้อที่กันออกทั้งหมดประมาณ 187,000 ไร่ ทั้งนี้ เป็นไปเพื่อทำแนวเขตของอุทยานฯ ให้ชัดเจนตามมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งได้ยกเลิกมติ ครม. 22 เมษายน 2540 ไปด้วยในคราวเดียวกัน (มติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ได้ปรับเปลี่ยนหลักการสำคัญคือ ยกเลิกการใช้วิธีการปรับปรุงแนวเขตฯ และมุ่งเน้นการพิสูจน์สิทธิในที่ดินและการครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างต่อเนื่องแทน โดยยึดวันที่สงวนหวงห้ามป่าไม้ตามกฏหมายครั้งแรก ซึ่งหมายถึงสันประกาศป่าสงวนแห่งชาติไปเป็นลำดับ และหากพบว่าราษฏรมีสิทธิดังกล่าว จะได้รับสิทธิในการอยู่อาศัยในที่ดินนั้นต่อ และหากเป็นพื้นที่เปราะบางทางนิเวศ อาจมีการอพยพเคลื่อนย้ายราษกฏรออกจากพื้นที่ พร้อมทั้งจัดสรรที่ทำกินอยู่อาศัยให้ใหม่)
  • ทางกรมอุทยานฯ ได้แจ้งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติในปี 2556 ขอยกเลิกการดำเนินการจัดทำเส้นปรับปรุงแนวเขตในอดีตรวมถึงปี 2543 โดยให้เหตุผลถึงความไม่สมบูรณ์ในการจัดทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องข้อมูลการถือครองที่ดินและการทำผิดกฏหมาย ทางคณะ กก.ฯ มีมติเห็นชอบให้ยึดเส้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา ปี 2524 เป็นหลักในการทำงานในพื้นที่ โดยให้เหตุผลประกอบว่า เส้นปรับปรุงแนวเขตปี 2543 ยังไม่มีผลทางกฏหมาย เพราะยังไม่ได้มีการประกาศในพระราชกฤษฎีกาแต่อย่างใด
  • หลังการสรุปข้อวินิจฉัยและข้อเสนอและของผู้ตรวจการแผ่นดิน วันที่ 6 สิงหาคม 2562 ทางผู้ตรวจฯ ได้ส่งข้อวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของตนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรมอุทยานฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปปฏิบัติตามข้อเสนอแนะ แต่ทางหน่วยงานชี้แจงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามได้
  • ในการประชุมระหว่างผู้ตรวจฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ทางหน่วยงานได้ให้เหตุผลว่า การปรับแนวเขตฯ ดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อความเป็นมรดกโลกของพื้นที่ การดำเนินคดีผู้บุกรุกพื้นที่อุทยานฯ มติของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ และแนวทางการแก้ไขปัญหาตามมติ ครม.18 มิถุนายน และ 26 พฤกศจิกายน 2561 ในสมัยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายสำคัญคือ ให้ราษฏรที่มีการสำรวจตามมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ได้อยู่อาศัยในที่ดินของรัฐต่อตามเงื่อนไขและกฏหมายที่ออกมารองรับโดยไม่ต้องพิสูจน์สิทธิแล้ว (ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ กรมอุทยานฯ ได้ผลักดันกฏหมายอุทยานแห่งชาติฉบับใหม่ในปี 2562 และมีมาตรา 64, 65, และ 18 รองรับการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งที่อุทยานฯ ทับลานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)
  • ในประเด็นข้อห่วงใยทางคดีโดยเฉพาะที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ ทางผู้ตรวจฯ ชี้แจงว่า การใช้เส้นปรับปรุงแนวเขตปี 2543 ไม่มีผลกระทบทางคดี ทางผู้ตรวจฯ อ้างว่าได้มีการปรึกษาหารือกับทางสำนักอัยการสูงสุดแล้ว แต่ได้ข้อสรุปว่า หากมีดำเนินการตามข้อเสนอแนะของทางผู้ตรวจฯ จะส่งผลต่อการสั่งฟ้องคดีของอัยการ เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนสถานะที่ดินไปเป็น ส.ป.ก. และสถานะของคดีจากการกระทำผิดทางอาญาไปเป็นการทำผิดเงื่อนไขของ ส.ป.ก. แทน ซึ่งต้องไปดำเนินการตามกฏระเบียบของ ส.ป.ก. ในการเพิกถอนการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่กระทำผิดเงื่อนไข 
  • ในส่วนของกระบวนการในชั้นศาล ทางผู้ตรวจฯ กลับอ้างถึงกฏหมายอุทยานฯ ฉบับใหม่ปี 2562 ซึ่งมีข้อบัญญัติให้การถือครองที่ดินอุทยานฯ เป็นความผิด ผู้ตรวจฯ ยังอ้างต่อไปว่าในขณะที่ยังไม่มีการออกพระราชกฤษฏีกาปรับปรุงแนวเขต เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการจับกุมดำเนินคดีมีอำนาจตามกฏหมาย (ไม่มีการระบุหรือคำอธิบายที่ชัดเจนว่า ผลกระทบต่อคดีในกระบวนการในชั้นศาลเป็นการหารือกับสำนักอัยการฯ หรือเป็นข้อสรุปของผู้ตรวจฯ เอง)
  • ที่ประชุมฯ มีข้อสรุปให้กรมอุทยานฯ นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติอีกครั้ง และขอให้ทางผู้ตรวจฯ ไปพิจารณาข้อกฏหมายทางคดีเพิ่มเติม คณะกรรมการอุทยานฯ ในการประชุมในเดือนมิถุนายน 2563 ยืนยันมติเดิมให้ใช้แนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ปี 2524 ในการดำเนินการในพื้นที่
  • ในวันที่ 21 กันยายน 2563 ทางผู้ตรวจฯ จึงนำเรื่องเสนอนายกฯ พลเอกประยุทธ์ตามกฏหมายให้รับทราบและนำเข้า ครม. ซึ่งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 2564 ครม. รับทราบและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ทส. รับไปดำเนินการให้มีความคืบหน้าพร้อมทั้งเร่งรัดงานตามมาตรา 64 อีกทั้งยังสั่งการให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ที่พลเอกประยุทธ์เป็นประธานเร่งรัดปรับปรุงเส้นแนวเขตทับซ้อนในพื้นที่รัฐตามแนวทาง One Map (การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ โดยใช้แผนที่ที่มีความละเอียดคือ 1:4,000 มาปรับปรุงเส้นแนวเขตของแต่ละหน่วยงานให้ตรงกันตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้เกิดเป็นเส้นแนวเขตเดียวกัน)
  • ครม. มีมติที่เกี่ยวข้องอีกครั้งในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 โดยเห็นชอบมติ คทช. จากการประชุมในเดือนกันยายน เรื่องแนวทางแก้ไขผลกระทบจาก One Map และการต้องคำนึงถึงมติ ครม. ข้อเสนอของกรรมาธิการ และคำวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินประกอบ ในการประชุม คทช. รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณนั่งเป็นประธานแทนนายกฯ พลเอกประยุทธ์
  • หลังจากนั้นราว 1 เดือน ในวันที่ 16 ธันวาคม 2565 คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่ฯ ภายใต้ คทช. มีการประชุมและมีมติเสนอ คทช. ให้ความเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการนโยบาย แนวทางและมาตรการการบริหารจัดการที่ดินฯ (พลเอกประวิตรเป็นประธาน) พิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่นอกแนวเขต ส.ป.ก. โดยหนึ่งใน 2 แนวทางคือ ข้อเสนอของผู้ตรวจฯ
  • อีก 1 เดือนต่อมา คทช. มีการประชุมครั้งที่ 1/2566 วันที่ 16 มกราคม 2566 โดยได้มีการพิจารณากรณีของทับลานและมีมติเห็นชอบให้ใช้เส้นแนวเขตของ ส.ป.ก. เป็นหลักในพื้นที่ที่ทับซ้อนระหว่าง ส.ป.ก กับอุทยานฯ ส่วนพื้นที่นอกแนวเขต ส.ป.ก. (แต่อยู่ภายในเขตเส้นปรับปรุงปี 2543, อ้างอิง คทช.) เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการนโยบายฯ รับเรื่องไปพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมว่าควรเป็นอย่างไร
  • คณะอนุกรรมการนโยบายฯ ได้ประชุมในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 และมีมติเห็นชอบแนวทางการใช้เส้นปรับปรุงการสำรวจแนวเขตปี 2543 ในการปรับปรุง One map ในพื้นที่ทับลานและกันพื้นที่ออกให้ ส.ป.ก. ดำเนินการ และให้ดำเนินการผนวกพื้นที่ 110,00 ไร่ โดยให้ ทส. พิจารณาความเหมาะสม นอกจากนี้ ยังเห็นชอบการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม “โดยไม่เกี่ยวข้องหรือมีผลต่อรูปคดี” ที่อยู่ในกระบวนการหรือชั้นศาล และในขณะเดียวกันให้กำหนดแนวทางคุ้มครองการดำเนินการด้านคดีของเจ้าหน้าที่ที่จับกุมดำเนินคดี หลังจากนั้น ที่ประชุมฯ ได้เสนอเรื่องให้คณะอุนกรรมการการกลั่นกรองกฏหมายการบริหารจัดการที่ดินฯ พิจารณาก่อนเสนอ คทช. อีกครั้ง
  • ในวันที่ 2 มีนาคม 2566 คณะอนุกรรมการกลั่นกรองกฏหมายฯ ได้ประชุมเพื่อพิจารณามติของคณะอนุกรรมการนโยบายฯ และเห็นด้วยกับแนวทางของคณะอนุกรรมการนโยบายฯ ในการใช้เส้นปรับปรุงการสำรวจแนวเขตปี 2543 ในการปรับปรุง One map ในพื้นที่ทับลานและกันพื้นที่ออกให้ ส.ป.ก. ดำเนินการ รวมทั้งแนวทางการดำเนินคดี ทั้งนี้ แนวทางคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่จับกุมดำเนินคดีสามารถให้เป็นไปตามความเห็นของกฤษฏีกาที่ให้อิงกับ พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ “เพราะต้องเป็นไปตามผลของกฏหมายและไม่อาจดำเนินการได้โดยมติ ครม.”
  • คณะอนุกรรมการกลั่นกรองกฏหมายฯ อ้างไปถึงการคำนึงถึงข้อมติและข้อเสนอแนะต่างๆ รวมทั้งของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามมติ ครม. 22 พฤศจิกายน 2565 นอกจากนี้ ยังอ้างถึงข้อเสนอแนะของประธานผู้ตรวจฯ ในการเร่งรัดการดำเนินการ One Map การประชาสัมพันธ์และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และการพิสูจน์สิทธิตามมาตรการที่ คทช.กำหนดให้ยุติโดยเร็ว เพื่อประกอบการพิจารณาการจัดสรรการใช้ประโยชน์ที่ดิน “ไม่ว่าจะในรูปแบบกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฏหมายที่ดิน หรือสิทธิครอบครองอื่นใดตามที่กฏหมายกำหนด เพื่อจะทำให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์สูงสุด”
  • ในวันที่ 10 มีนาคม 2566 คทช. ได้มีการประชุมครั้งที่ 2/2566 โดยมีนายกฯ พลเอกประยุทธ์เป็นประธาน และได้เห็นชอบตามมติของคณะอนุกรรมการฯ โดยตัดถ้อยความการพิจารณารูปแบบการจัดสรรการใช้ประโยชน์ที่ดินหลังการพิสูจน์สิทธิออก นอกจากนี้ ยังเพิ่มการยกเว้น มติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ในประเด็นที่ไม่ให้รัฐนำพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฏหมายและตามมติ ครม. ไปดำเนินการตามกฏหมาย ส.ป.ก. โดยเป็นการยกเว้นสำหรับพื้นที่ทับลานเป็นกรณีเฉพาะ (ไม่มีคำอธิบายใดๆ จาก คทช. ในประเด็นนี้)
  • ถัดจากนั้นเพียง 4 วัน ในวันที่ 14 มีนาคม 2566 คทช. เสนอเรื่องจากการประชุมครั้งที่ 2/2566 เป็นเรื่องเร่งด่วนเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นประธานและ ครม. ได้มีมติเห็นชอบตามที่ คทช. เสนอ ทั้งนี้ การดำเนินการทางด้านคดีและแนวทางคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินคดีจับกุมและคณะกรรมการเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามความเห็นของกฤษฏีกาที่ให้อิงกับ พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ สอดคล้องกับข้อเสนอของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองกฏหมายฯ
  • และในวันที่ 21 มีนาคม 2566 ครม. มีมติเห็นชอบข้อเสนอของ คทช. จากการประชุมครั้งที่ 1/2566 อีกครั้ง (ไม่มีการอธิบายว่าทำไมถึงพิจารณาและเห็นชอบผลการประชุมของ คทช. ครั้งที่ 1/2566 ทีหลัง)
Credit: DNP

อ่านเพิ่มเติม “จากทับลานถึงเขาใหญ่”, ผืนป่าที่ถูกเฉือน?