ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเห็นตรงกันว่า สภาพภูมิอากาศในอนาคตจะมีความสุดขั้วรุนแรงและมีความถี่มากขึ้น รวมทั้งในประเทศไทยที่ได้มีการจำลองสภาพภูมิอากาศดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นความท้าทายใหญ่ของประเทศที่จะต้องปรับประยุกต์วางแผนให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐาน การวางแผนป้องกันล่วงหน้า การเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การรับมือระยะฉุกเฉิน ไปจนถึงการฟื้นฟูและเยียวยาหลังเกิดภัย (2P2R)
หลังการประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change, IPCC) ในปี 2021 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเห็นตรงกันว่า สภาพภูมิอากาศในอนาคตจะมีความสุดขั้วรุนแรงและมีความถี่มากขึ้น ประเทศไทยเองได้มีการจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน และพบแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงฯ ดังกล่าวไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก
โดย รศ. ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ประธานกรรมการบริหารและที่ปรึกษาด้านการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศและความเสี่ยงภัยพิบัติ ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา (FutureTales LAB by MQDC) และผู้เชี่ยวชาญ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) กล่าวนำในเวทีเสวนา Dialogue Forum 1 l Year 5: โลกรวนในโลกร้อน: ไต้ฝุ่นยางิ Monsoons และความท้าทายด้านภูมิอากาศในภูมิภาค จัดโดยสำนักข่าว Bangkok Tribune ร่วมกับองค์กรพันธมิตรและโดยการสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อาเด นาวร์ (Konrad Adenauer Stiftung, Thailand Office) ว่า IPCC ได้ทำการประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศล่าสุด โดยในรายงานฉบับปี 2021 ได้แสดงให้เห็นว่าสภาพภูมิอากาศในอนาคตจะมีแนวโน้มสุดขั้วขึ้น โดยจะเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง (widespread), เป็นไปอย่างรวดเร็ว (rapid) และรุนแรงขึ้น (intensify) นอกจากนั้น จะมีความถี่มากขึ้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมปัจจุบันโลกจึงเจอภัยพิบัติบ่อย
รศ. ดร.เสรีกล่าวว่า ข้อมูลในอดีตของไทยก็บ่งชี้เช่นกันว่า ในอดีต 100 ปี 50 ปี และปัจจุบัน ก็เกิดแล้งเกิดท่วม และความถี่มากขึ้นตามลำดับ จึงเป็นประเด็นที่ว่าอนาคตมันก็จะเป็นเทรนด์ลักษณะนี้
ในลุ่มเจ้าพระยา เวลาแล้งก็จะแล้งจัด เวลาท่วมก็ท่วมหนัก ทั้งลุ่มเจ้าพระยาตอนบนตอนล่าง โดยในเชิงความถี่ เคยเกิดทุกๆ 50 ปีสำหรับฝน 6 เดือน แต่ว่าอนาคตข้างหน้าแค่ 10 ปีเท่านั้น เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นประเด็นที่ทาง IPCC ได้สรุปมาว่า ทั้งความถี่และก็ความรุนแรงมันมากขึ้น สำหรับลุ่มเจ้าพระยา เมื่อทำดาวสเกลออกมา ก็พบว่ามันมากขึ้นเช่นกัน รศ.ดร. เสรีกล่าว
“ชัดเจนว่าประเทศไทยที่ผ่านมาสภาพภูมิอากาศไม่เหมือนเดิม เมื่อต้นปีไทยเจอภัยแล้งอย่างหนัก เอาสถิติมาดูเทียบกับปี 2016 ที่แล้งจัดๆ พบว่าปี 2024 ทำลายสถิติปี 2016 ไปเรียบร้อย ปี 2016 เป็นปีที่มีปัญหาเรื่องความร้อนรุนแรงมาก อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นจากปกติไปเกือบ 2.4 องศาเซลเซียส เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นปีที่นักวิจัยบอกว่าจากนี้ไปเอลนีโญจะมาถี่ขึ้น” รศ. ดร.เสรีกล่าว
รศ. ดร.เสรีกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ในระดับโลกกำลังกำหนดประเด็นเพื่อทำการศึกษาเพิ่มเติมในรายงานฉบับถัดไปของ IPCC (AR7) รวมทั้งการที่ภูมิภาคเอเชียเป็นพื้นที่เสี่ยงกับภัยพิบัติโลกร้อน แต่ต้องใช้เวลาอีก 5 ปีจึงจะมีผลการศึกษาเผยแพร่สู่สาธารณะ
อุทกภัยในปีนี้จะต้องมีการทำบทเรียนที่พิเศษจากบทเรียนอื่นๆ เพราะมีลักษณะต่างไปจากน้ำท่วมที่ผ่านมา IPCC ให้ข้อแนะนำเรื่องการปรับตัวอย่างรวดเร็ว (rapid adaptation) ควบคู่ไปกับการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อน ลดต้นตอการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (mitigation) ฉะนั้น จึงควรใช้โอกาสนี้สร้างเชียงรายให้เป็น Climate Resilient City เป็นต้น รศ. ดร.เสรีชี้แนะ









ปัจจัยทางภูมิศาสตร์
ดร.เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล และผู้ก่อตั้งเพจ “ฝ่าฝุ่น” กล่าวว่า ปัญหาหนึ่งที่เริ่มเห็นคือ แม้ฝนจะค่อนข้างปกติ แต่มีปัญหาเรื่องดินกับความเสถียรภาพของดินอยู่
จากประสบการณ์ที่ได้ติดตามปัญหาไฟป่าอย่างใกล้ชิดมาหลายปีและเริ่มทำแผนที่ไฟป่า ดร.เจนกล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2566 ประเทศไทยมีการเผาป่าเยอะมาก มีจุดความร้อนเกิดขึ้นประมาณ 6 หมื่นกว่าจุด มีไฟไหม้ป่ากินพื้นที่ 9 ล้านไร่ ปี 2567 ภาคราชการ ภาคประชาชนเริ่มให้ความสนใจและตระหนักที่จะลดปัญหา ก็สามารถลดปัญหาลงมาได้ครึ่งหนึ่งซึ่งถือว่าดีมาก
อย่างไรก็ตาม ดร.เจนกล่าวเตือนว่า ปัญหาการเผามากมายในปี 2566 ยังคงทิ้งร่องรอยไว้อยู่ ความร้อนจากการเผาไหม้ได้เผาทำลายต้นไม้ พืช ชีวมวลต่างๆ บางอย่างของการเผาไหม้หรือในพืชทำให้เกิดเป็นน้ำมันหรือแวกซ์ระเหยซึมลงดิน ดินในพื้นที่เผาลึกลงไปจะกลายเป็นมีคุณสมบัติผลักน้ำเหมือนน้ำกลิ้งใบบอน ทำหน้าที่เหมือนแผ่นพลาสติกไม่ให้น้ำซึมลงดินเวลาฝนตก ในขณะที่ไฟป่าไม่เหลือต้นไม้และป่าไม้ที่คอยช่วยดูดซับน้ำลงใต้ดินหรือที่มีรากไม้ยึดหน้าดินไว้ พอฝนมาหนักๆ จึงเกิดปรากฏการณ์น้ำหอบเอาดินถล่มลงจากภูเขาจำนวนมหาศาลแล้วไหลเป็นสึนามิไปกองทับถมทั่วบริเวณที่น้ำหลากไป

ดร.เจนกล่าวว่า แต่ละที่ที่เกิดปรากฏการณ์สึนามิโคลนครั้งนี้ล้วนเป็นที่ที่สัมพันธ์กับการเผาป่าครั้งมโหฬาร ในปี 2566 โดยเฉพาะตรงสันปันน้ำรวก (สาย) ไฟป่ากองใหญ่อยู่ทางจุดนี้ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับอำเภอแม่สายและจังหวัดท่าขี้เหล็กของพม่า ในช่วงฤดูไฟก็จะพบว่าตัวแม่สายเองมีมลพิษทางอากาศสูงสุด เพราะว่าลมพัดเข้าทางนี้โดยตรง แล้วนี่เป็นผลที่ค้างมาอยู่ แล้วในปี 2567 ก็มีไฟ อาจจะลดลงแต่ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังมีไฟมากเป็นปกติ
เมื่อข้ามไปฝั่งพม่า ลาว มีการเผาป่ามโหฬารเช่นกัน โดยเฉพาะป่าที่เป็นพื้นที่ต้นน้ำแม่น้ำกก ดร.เจนกล่าวและเพิ่มเติมอีกว่า เวลาที่ข้ามแดนไป จะเห็น tree cover loss คือผืนป่าที่คลุมดินมันถูกทำลายลงโดย non-fire คือเป็นผลพวงของมนุษย์ ฝั่งไทยไม่ค่อยมีการทำลายป่าแต่มีไฟ แต่ในฝั่งพม่ากับลาวจะเริ่มเห็นป่าที่หายไปแล้ว แล้วก็มีการใช้ไฟกันเยอะ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมน้ำท่วมคราวนี้จึงมีลักษณะผิดปกติไปจากเดิม มีดินโคลนมหาศาลไหลมากับน้ำ
“ในต่างประเทศจะสอนกันเป็นพื้นฐานเสมอว่า ปีไหนก็ตามที่เกิดไฟป่าบริเวณพื้นที่สูงชัน ภูเขา ให้ประชาชนเตรียมความพร้อมไว้ได้เลยว่า ถึงฤดูน้ำเมื่อไหร่จะเจอภัยพิบัติน้ำหลาก ดินโคลนถล่มมาคู่กัน ผลจากการเผาป่าจะสร้างความเสียหายอยู่ถึง 6-7 ปีเลยกว่าดินจะปรับตัวได้” ดร.เจนกล่าว
ดร.เจนเสนอให้มีการทำแผนที่ไฟป่าในแต่ละปี เพื่อจะได้มีข้อมูลไว้วิเคราะห์ความเสี่ยงว่า พื้นที่ไหนจะเสี่ยงน้ำหลากและดินถล่มในอนาคตอีกด้วย
“เราก็ลืมไปแล้วว่าไฟป่ามันอยู่ตรงไหน เราไม่เคยมีแผนที่ เพราะฉะนั้น ต่อไปเราน่าจะเริ่มทำแผนที่พวกนี้ออกมาเรื่อยๆ ไปดูหลังหมู่บ้านว่าเคยเกิดอะไรขึ้น แล้วสนใจกับมัน เราพยายามเผาป่าลดลง ไฟป่า 99% เป็นสิ่งที่เรียกว่า “ไฟลุกลาม” ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลยกับคนเผา แล้วก็ปล่อยมันลุกลาม เพราะฉะนั้น ต่อไปจะใช้ไฟ ใช้ได้ แต่ต้องควบคุมอย่าให้มันลาม ถ้าเราปล่อยมันลุกลาม ไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย แล้วก็สุดท้ายมันความเสี่ยงต่อชีวิตเราด้วย” ดร.เจนกล่าว
ความเสี่ยงด้านภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
หัวหน้างานด้านการสื่อสารและการมีส่วนร่วม โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย UNDP กานท์กลอน รักธรรม กล่าวว่า UNDP ได้มีโอกาสสกัดข้อมูลรายงานแห่งชาติฉบับที่ 4 ที่จัดทำโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ทส. โดยได้ทุนสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งรายงานชุดนี้เป็นรายงานที่ไทยต้องนำเสนอในประชาคมโลกทุกๆ 4 ปีว่า สถานการณ์ความเสี่ยงของไทยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีอะไรบ้าง และมีนโยบายระดับชาติรับมืออย่างไร
จากรายงานฉบับนี้จะเห็นชัดว่า กลุ่มที่รับความเสี่ยงเป็นด่านหน้าของไทยคือกลุ่มเกษตรกร 12 ล้านคน ซึ่งถือเป็น 1 ใน 6 ของประชากรทั้งหมดของประเทศ

คุณกานท์กลอนกล่าวว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่ผันผวน ส่งผลให้ปศุสัตว์ล้มตาย ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย กระทบรายได้และปากท้องของเกษตรกร ประมาณการระหว่างปี 2554-2588 ภาคเกษตรกรรมเสียหายจากอากาศแปรปรวนรวมได้ถึง 17,912-83,826 ล้านบาทต่อปี โดยจังหวัดทางภาคอีสานจะเสี่ยงกับภัยพิบัติหนักคือ จ.นครราชสีมาที่จะเสี่ยงทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง ในขณะที่กรุงเทพมหานครจะเสี่ยงกับความร้อนระอุ และทั้งกรุงเทพฯ และภาคอีสานจะเสี่ยงต่อแหล่งน้ำขาดแคลน ไม่สมดุล น้ำปนเปื้อน โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ โรคทางเดินหายใจ ขาดสารอาหาร ภาคอีสานเสี่ยงขาดแคลนอาหารสูงสุด พืชและสัตว์อยู่ยากขึ้น
ทั้งนี้ ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 1% ของทั้งโลก แต่แบกรับผลกระทบหนัก ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลง สภาพอากาศสุดขั้วต่อเนื่อง ฝนตกหนักในประเทศพม่ากระทบมาถึงไทย ไทยถูกจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงสุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างปี 2543-2562 คุณกานท์กลอนกล่าว
ปัญหาอุปสรรคของการป้องกันและเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติฯ
ผศ. ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ภาคเหนือ-อีสาน โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงราย แพร่ น่าน เชียงใหม่ พะเยา ทำให้เห็นความเชื่อมโยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกร้อน โลกรวนว่า มีผลทำให้เกิด extreme events ถี่ขึ้น ปัญหาเรื่องน้ำมีมากขึ้น
ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ความเข้มข้นของฝนมากขึ้นคือ ฝนตกหนักขึ้นและพบว่าทั้งตกหนักตกแช่ และตกหนักตกสั้น แต่ไม่ว่าจะตกแช่หรือจะตกสั้นก็คือตกหนักในหน้าน้ำ ในจังหวัดภาคเหนือเหล่านี้ ข้อมูลน้ำที่เปิดเผยออกมาก็คือฝนตกเยอะ พื้นที่เหล่านี้บางวันปริมาณน้ำฝนที่เป็นค่าของการเกิดฝนหนึ่งลูกมากถึง 200-300 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นปริมาณที่เยอะมาก เยอะถี่ๆ อย่างที่ กทม. ค่าการออกแบบของการเกิดฝนหนึ่งลูกอยู่ที่ไม่เกิน 210 มิลลิเมตร
“มันมาจากไหน? นั่นคือการเปลี่ยนแปลงของโลก มันอาจจะมีร้อนขึ้น เย็นลงเป็น cycle แต่ว่ากิจกรรมที่เราปล่อยก๊าซขึ้นไปทำให้ cycle ของมันหดสั้นลง การที่มันจะค่อยๆ ร้อนขึ้นหรือค่อยๆ เย็นลง กลายเป็นว่าเราเร่งให้ cycle มันเร็วขึ้น มันจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราได้เร็วขึ้นกว่าสมัยโบราณ เราทุกคนนี่แหละที่ทำให้โลกมันเลวร้ายลง มลพิษจากที่เราตั้งใจ ไม่ตั้งใจ กิจกรรมของมนุษย์ทั้งหลายที่ก่อการทำลายสิ่งแวดล้อมและก่อมลพิษ” ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าว
ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าวอีกว่า ความหนักหน่วงซับซ้อนรุนแรงของภัยพิบัติในครั้งนี้มีผลพวงมาจากน้ำมือมนุษย์ด้วย รวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่าและเผาป่าโดยเฉพาะป่าต้นน้ำ อีกทั้งการปล่อยให้มีสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำมากมาย จึงเกิดปรากฏการณ์น้ำท่วมที่มีลักษณะผิดปกติไปจากเดิม เป็น flash floods หรือน้ำท่วมฉับพลันที่มีดินโคลนถล่ม มีท่อนซุงท่อนไม้ไหลมากับน้ำ เรียกว่าเป็น “สึนามิโคลน” กันเกือบทุกพื้นที่

“ที่ถูกถามมาตลอดตั้งแต่เข้าหน้าฝนก็คือ จะเหมือนน้ำท่วม 54 หรือเปล่า แล้วก็ตอบมาตลอดว่าภาคกลางไม่เหมือนปี 54 แต่ปรากฏว่าหวยก็ไปออกที่ภาคเหนือ แล้วก็ความหนักหน่วงก็ไม่ได้น้อยกว่าที่เกิดขึ้นของปี 54 ของภาคกลางเลย ซึ่งความหนักหน่วงคือ ถึงแม้ว่าจะมาเร็วไปเร็ว แต่ว่าก็ค่อนข้างเรียกว่าอะไรดี คือล้มละลายกันได้เลยทีเดียว มันทิ้งร่องรอยไว้มาก น้ำหายไปแต่โคลนไม่ได้ไปด้วย โคลนก็ยังอยู่ถึงเพดานบ้าน
“โคลนที่มามันก็เหมือนเป็นการกัดเซาะเอาหน้าดินเอาภูเขามาเลย จนเราไม่รู้ว่าน้ำท่วมเสร็จรอบนี้ระดับสูงต่ำของพื้นที่จะยังเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า เพราะว่าโคลนมาเยอะมากดินมาเยอะมาก” ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าว
ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า เมื่อมาดูที่สถานการณ์ป่าไม้ของไทย จะเห็นว่าป่าไม้ลดลงเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ตั้งเป้าจะให้มีพื้นที่ป่าไม้ 40% ของพื้นที่ประเทศ แต่ทำไปทำมาตัวเลขก็อยู่ที่ประมาณ 32-33% ล่าสุดข้อมูลจากมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ก็รายงานว่าลดลงไปอยู่ที่ 31.47% ในปี 2566 โอกาสที่จะไปแตะ 40% แทบไม่มี ในช่วงชีวิตของคนคือลดลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้คือลดลงไปมากที่สุดในรอบสิบปีแล้ว
สถานการณ์ป่าไม้ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าซึ่งเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำของแม่น้ำกก 80% ของแม่น้ำกกนั้นอยู่ทางฝั่งพม่า ส่วนอีก 20% อยู่ทางฝั่งไทย ไหลมาอำเภอแม่อาย เชียงใหม่แล้วไปสู่เชียงราย ผืนป่าหลักที่เป็นต้นน้ำแม่กกก็ถูกทำลายไปมากมายเช่นกัน ภาพที่มีการแชร์กันช่วงนี้จึงเป็นภาพภูเขาหัวโล้น ไม่ว่าจะเป็นเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน การใช้ประโยชน์ที่ดินเปลี่ยนไปเยอะมาก พื้นที่ป่าลดลงกลายเป็นพื้นที่ชุมชนเข้าไปทำกินอยู่อาศัย นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แม้น้ำท่วมเท่าเดิมแต่ความรุนแรงกลับมากขึ้น ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าว
นอกจากนี้ การรุกล้ำลำน้ำต่างๆ ก็เป็นปัจจัยด้วย โดยผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า ในภาคเหนือก็มีการรุกล้ำลำน้ำในแบบหนึ่ง ภาคกลางหรือเมืองท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวก็มีการรุกล้ำอีกแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะรุกล้ำในรูปแบบสร้างแพพักอาศัยหรือบริการที่พักนักท่องเที่ยว สิ่งปลูกสร้าง ร้านอาหาร โรงแรม เป็นต้น
ถ้าไม่เกิดเหตุภัยพิบัติ ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า ภาพเหล่านี้ก็ไม่ถูกฉายให้ปรากฏต่อสาธารณชน การรุกล้ำลำน้ำ ทำให้ทางน้ำแคบลง อย่างสุโขทัยน้ำท่วมทุกปี ถ้าไปเดินเที่ยวสุโขทัยจะเห็นร่องรอยว่าหลายที่เคยเป็นทางน้ำเป็นลำน้ำมาก่อน แต่ปัจจุบันความเป็นลำน้ำมันหายไปแล้ว และมันไม่ได้หายแค่จุดสองจุด มันหายหลายจุดทั่วเมืองสุโขทัย ในเมื่อพื้นที่ที่มันจะเก็บน้ำไว้มีน้อยลง น้ำมามันก็ไม่มีทางไปก็ต้องท่วมเมือง ผศ.ดร.สิตางศุ์กล่าว
ผศ.ดร.สิตางศุ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยว่าการสร้างโครงสร้างทางชลศาสตร์อย่างคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ เอื้อให้เกิดภัยรุนแรงมากขึ้นหรือไม่อย่างไร ภัยรุนรุนแรงในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่น้ำท่วม แต่หมายถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เวลาที่มีคันกั้นน้ำคนอาจจะสบายใจ แต่คันพวกนี้ยิ่งถูกบีบเข้ามาเท่าไหร่ น้ำที่ไหลมาแทนที่จะแผ่กระจายลงสู่ลำน้ำก็จะมีโมเมนตัมมากขึ้น พลังทำลายล้างมากขึ้น คันกั้นน้ำเหล่านั้น แม้จะออกแบบไว้ดีอย่างไร พอเจอกับน้ำที่ไหลมามากๆ พลังของน้ำจะไปเซาะดินข้างล่างทำให้คันกั้นน้ำแตก อย่างปีที่ผ่านมา จ.สุโขทัย อ่างทอง ก็มีเรื่องคันกั้นน้ำแตกให้เห็นตลอด
“การบริหารจัดการน้ำ จริงๆ แล้วจึงต้องมีทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต ตอนนี้เราเห็นบริหารแต่เฉพาะภาวะวิกฤต รับมือเฉพาะหน้า ซึ่งจริงแล้วบางอย่างต้องทำภายใต้ภาวะปกติเพื่อเตรียมให้พร้อมรับมือภาวะวิกฤต ต้องดำเนินการทั้งด้าน supply side และ demand side” ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าว

แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาน้ำแห่งชาติ 20 ปี
ผศ. ดร.สิตางศุ์เปิดเผยถึงแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาน้ำแห่งชาติ 20 ปีว่า แผนฯ กำหนดเป้าหมายการพัฒนาไว้ 6 ด้านได้แก่ 1. น้ำกิน น้ำใช้ อุปโภค บริโภค 2. การจัดสรรจัดหาน้ำให้พอสำหรับการเกษตร อุตสาหกรรมและทุกวัตถุประสงค์การใช้น้ำ 3. การบรรเทาน้ำท่วม ภัยพิบัติต่างๆ 4. คุณภาพน้ำ 5. การดูแลป่าและนิเวศ และ 6. การบริหารจัดการ ซึ่งจะพบว่า รัฐทุ่มงบประมาณให้กับการบริหารจัดการน้ำถึงหลักแสนล้านบาทต่อปี แต่งบส่วนใหญุ่ทุ่มไปใช้กับเป้าหมายที่ 2 และ 3 คือ เรื่องการจัดสรรน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำ สร้างเขื่อน สร้างบึง และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ และเรื่องการเฝ้าระวังบรรเทาน้ำท่วม ลดภัยพิบัติทางน้ำ โดยงานที่ใช้งบประมาณมากสุดคือ ทำพนังกั้นน้ำ
ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า เรื่องสำคัญอย่างเป้าหมายที่ 4 คือการฟื้นฟูคุณภาพน้ำ แทบไม่แตะเลย ทั้งที่ตอนนี้ไม่ทำไม่ได้แล้ว และเป้าหมายที่ 5 เรื่องป่าและนิเวศ ป่าต้นน้ำ ก็งบน้อยมากเช่นกัน
“เราแทบไม่ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูป่าต้นน้ำเลย พูดง่ายๆ คือเราให้ความสำคัญกับเรื่องโครงสร้างชลศาสตร์เยอะมาก แล้วพอน้ำท่วมทีก็ถือโอกาสปลุกผีเรื่องเขื่อน อย่างน้ำท่วม จ.สุโขทัย ผู้บริหารระดับสูงลงพื้นที่ สิ่งแรกที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็คือปีนี้จะต้องผลักดันโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นให้ได้
“ถามว่าเป็นเขื่อนที่มีอนาคตหรือไม่ ตอบเลยว่า เป็นเขื่อนที่ไม่มีอนาคต เพราะถ้าจะทำ ก็ต้องย้อนกลับไปทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม Environmental Impact Assessment (EIA) กว่าจะของบประมาณทำ EIA 5 ปี ก็ไม่เสร็จ เพราะชาวบ้านไม่ให้เข้าพื้นที่ สิบปีหรือตลอดช่วงชีวิตนี้จะได้สร้างหรือเปล่า ตอบเลยว่าไม่ได้สร้างแน่นอน” ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าวและเพิ่มเติมว่า นอกจากเขื่อนแล้ว ก็ยังมีเรื่องพนังกั้นน้ำ จ.สุโขทัยที่เป็นตัวอย่างว่า พนังกั้นน้ำสูงท่วมหัวแล้วยังจะขอต่อให้สูงไปอีก แล้วน้ำก็ยังท่วมทุกปี
ความเชื่อมโยงของหน่วยงานปฎิบัติ
ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า ขณะที่การใช้งบส่วนใหญ่เน้นไปที่การเฝ้าระวัง บรรเทาน้ำท่วม ลดภัยพิบัติทางน้ำแล้ว สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) มีระเบียบ วิธีการ แผน และแนวทางแจ้งเตือน และมีการซักซ้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดที่คาดว่าจะเกิดภัยพิบัติ ทำทุกขั้นตอนหมดแล้ว แต่เพราะเหตุใด พอเกิดเหตุอย่างที่เชียงราย เหมือนกับว่าขาดไปทุกอย่าง ประชาชนไม่รู้ข้อมูล เตรียมตัวไม่ทัน ปฏิบัติตัวไม่ถูก การช่วยเหลือเป็นไปอย่างกระจัดกระจาย ไม่มีทิศทาง
เหตุการณ์น้ำท่วมเชียงรายทำให้เห็นช่องว่างในการดำเนินงานระหว่าง สทนช. กับกระทรวงมหาดไทย ผู้ที่ต้องรับลูกรับการแจ้งเตือนจาก สทนช.ไปส่งต่อผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับต่างๆ ให้รู้ถึงประชาชน กลไกทั้งหมดไม่เกิดตามแผนที่ได้ซักซ้อมกัน นั่นเพราะการทำงานของสองหน่วยงานนี้ฝ่ายปฏิบัติยังสร้างกรอบการทำงานของตัวเองขึ้นมา ยึดพันธกิจของตัวเอง ยึดการทำงานแบบไม่ก้าวล่วงกัน
การจัดการปัญหาลักษณะนี้ ควรต้องเป็น single command ที่มีผู้บัญชาการเดียวมีอำนาจสามารถสั่งการแบบเบ็ดเสร็จ ให้ทุกหน่วยงานฟังและปฏิบัติตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัย หน้าที่ของผู้บัญชาการคือประสาน อำนวยความสะดวก เพื่อลดช่องว่างลดกำแพงของแต่ละหน่วยงาน จัดลำดับความสำคัญ จัดระเบียบ จัดสรรความช่วยเหลือ วางแผนอพยพผู้คน หรืออะไรก็ตาม ทำให้เป็นกองบัญชาการเดียวที่หลอมรวมทุกหน่วยปฏิบัติให้ทำงานกันเป็นเอกภาพ ผศ.ดร.สิตางศุ์กล่าว
“ภายใต้การจัดการภาวะวิกฤต มันมี 2 พ.ร.บ. ฝั่งซ้ายมือคือภายใต้ พ.ร.บ. น้ำซึ่ง สทนช. เป็นเจ้าภาพหลัก ฝั่งขวาก็คือเป็นการให้ความช่วยเหลือโดยฝั่งมหาดไทย (พ.ร.บ. ปภ.) ฝั่งซ้ายทำได้คือรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์แล้วส่งต่อ เค้าไม่ได้มีหน้าที่ คือเค้าทำไม่ได้ในการที่จะไปบอกประชาชนว่าระวังเสี่ยงภัยอพยพยกของขึ้นสูง ตามพ.ร.บ. เขาทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่สทนช. ทำได้ และหน่วยงานฝั่งซ้ายฝั่งน้ำทำได้คือ ส่งข้อมูลไปให้มหาดไทยขับเคลื่อน พอกลไกที่มันควรจะเป็น อะไรบางอย่างมันไม่เกิด พอมันไม่เกิด การที่จะประสานข้อมูลระหว่างฝั่งน้ำกับฝั่งมหาดไทยมันก็ไม่ราบรื่น
“ถามว่า ท่านนายกฯ ลงพื้นที่ไปผัดข้าวผัด ผิดไหม? ก็อาจจะไม่ผิด เพราะว่าเป็นการให้กำลังใจ แต่ต้องอย่าลืมว่า หน้าที่ของผู้บัญชาการหรือ commander ระดับสูงสุดมีหน้าที่อะไร ทำไมถึงต้องเป็นนายกฯ เพราะว่านายกฯ คือคนที่สั่งทุกหน่วยงานในประเทศได้ ไม่มีใครที่จะสั่งได้อีกแล้วนอกจากนายกฯ” ผศ. ดร.สิตางศุ์กล่าว
ทางด้านผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐกล่าวว่า การจัดทำแผนแม่บทฉบับใหม่ของ สทนช.ได้บรรจุเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ climate change เข้าไปด้วย และมีการนำแนวทางแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน nature-based solutions เข้ามาใช้ เรื่องการแก้ไขปัญหาบุกรุกที่ป่าต่างๆ จะต้องมีกระบวนการปรับปรุงเพิ่มเติมให้เข้มข้นขึ้น มีระบบฟื้นฟูป่าให้ได้มากที่สุด
ในช่วงไต้ฝุ่นยางิพัดถล่มเวียดนามและแผ่อิทธิพลเข้ามาถึงประเทศไทย ผอ.ฐนโรจน์กล่าวว่า ได้มีการทำงานร่วมกันภายใต้หน่วยบริหารจัดการน้ำระหว่าง สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน ตลอดจนกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยและฝ่ายทหาร โดยร่วมกันประชุมวิเคราะห์แต่ละสัปดาห์ สรุปสถานการณ์พายุ และพื้นที่ที่วิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากพายุหรือไม่
สทนช. ก็จะเข้าไปตั้งศูนย์ในพื้นที่นั้นๆ เพื่อช่วยประเมินวิเคราะห์ในพื้นที่ว่า พื้นที่ไหนจะเสี่ยงอะไรบ้าง น้ำจะท่วมวันไหน ท่วมสูงเท่าไหร่ ลดเมื่อไหร่ และส่งข้อมูลให้จังหวัดไปบริหารจัดการวางแผนป้องกัน กรอบโครงสร้างมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหัวหน้าบริหารสถานการณ์เผชิญเหตุ มีสทนช. สรุปประเมินวิเคราะห์บ่งชี้เลยว่าจะมีเหตุลักษณะใดบ้าง
“สทนช. มีหน้าที่นำข้อมูลประกาศแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่มีอำนาจแจ้งต่อประชาชนโดยตรง ทั้งกระทรวงมหาดไทย กลาโหม เกษตรฯ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง หน่วยงานเหล่านี้ต้องรับลูกไปแจ้งเตือนในกระบวนการมิสเตอร์เตือนภัยของแต่ละพื้นที่” ผอ.ฐนโรจน์กล่าว และยกตัวอย่างกรณีไต้ฝุ่นยางิที่ทาง สทนช. แจ้งเตือนไปยังหน่วยงานต่างๆตั้งแต่เห็นพายุเคลื่อนตัวในทะเลแปซิฟิก
ผอ.ฐนโรจน์กล่าวว่า หลังจากนั้นจะอยู่ที่หน่วยรับผิดชอบหลักคือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้วว่า จะนำข้อมูลไปต่อยอดให้ประชาชนรับรู้ถ้วนทั่วได้หรือไม่ นี่คือกระบวนการทำงานทั้งหมด ส่วนจะมีช่องว่างอะไรที่ทำให้กระบวนการไม่เป็นไปตามที่ซักซ้อมไว้ ประชาชนไม่สามารถรับรู้ข้อมูลความเสี่ยงเพื่อเตรียมตัวรับมือ ก็ต้องทบทวนหาจุดอ่อนและแนวทางปรับปรุง
“เรามีข้อมูล ให้ข้อมูลไปส่งข้อมูลไป ก็อยากคิดในส่วนที่จะทำยังไงให้เกิดประสิทธิภาพ ก็ขบวนการภาครัฐนี่แหละ ที่ส่งต่อไปแล้วทำยังไงที่จะเสริมประสิทธิภาพให้เครือข่ายที่รับข้อมูล โดยเฉพาะมิสเตอร์เตือนภัยของปภ. รวมทั้งเครือข่ายในการแจ้งเตือนดินโคนถล่มของกรมทรัพยากรน้ำหรือกรมทรัพยากรธรณีที่มีสมาชิกกันอยู่แล้ว พยายามที่จะเอามาซักซ้อมว่า ข้อมูลมาแล้วนะ จะต้องเตรียมการอย่างไรเพิ่มเติม มันก็จะดีในระดับหนึ่ง
“ในส่วนข้อมูลภาครัฐ ให้ไปจะไปขยายผลยังไง หน่วยงานหลักที่ติดกับประชาชนอยู่กับประชาชนก็คือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะฉะนั้น ทำอย่างไรที่จะพยายามให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เรียนรู้ในเรื่องของสถานการณ์ เรียนรู้ถึงระบบว่าเอาข้อมูลไปแล้ว มันเสี่ยง แล้วก็จะกระทบกับตัวชุมชนหรือพื้นที่อย่างไร ก็น่าจะเป็นตัวตอบโจทย์ที่เป็นระยะอันใกล้ๆ ที่เราจะปรับปรุงแล้วก็เพิ่มประสิทธิภาพได้ในระยะอันสั้น” ผอ.ฐนโรจน์กล่าว

แนวทางแก้ไขปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบาย
ประเทศไทยมีแผนแม่บทรับมือภัยพิบัติและวิกฤติน้ำภายใต้ พ.ร.บ. 2 ฉบับดังกล่าว และทำให้เกิดบทบาทหน้าที่และโครงสร้างการทำงานที่ต่างกัน และภัยพิบัติด้านภูมิอากาศที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดได้ท้าทายประสิทธิภาพของแผนฯ และกฏหมายดังกล่าวตลอดจนหน่วยงานและอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในมือโดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤติ
ผู้เชี่ยวชาญฯ ในเวทีเห็นตรงกันถึงช่องว่างในการรับมือภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศและการทำงานระหว่างหน่วยงานที่ยังไม่สอดประสานและบูรณาการ และที่สำคัญคือการขาดความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการบัญชาการ โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์เข้าสู่วิกฤติหรือภาวะฉุกเฉิน
คุณหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่น้ำท่วม จ.เชียงราย พบว่า น้ำท่วมปีนี้ลักษณะไม่เหมือนปี 2554 น้ำหลากมาเร็วจากพม่าที่มาพร้อมโคลนเหมือนน้ำโม่แป้ง เหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นที่ อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช ที่พัดโคลนมาพร้อมกับทะเลซุง และปี 2544 ที่ ต.น้ำก้อ น้ำชุน หนองไขว่ และหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ แล้วเรื่องเหล่านี้ก็หายไปนานนับสิบปี มาเกิดอีกครั้งที่เชียงรายและเชียงใหม่โดยที่ไม่มีการถอดบทเรียนเพื่อรับมือกับปัญหาที่จะเกิดในอนาคต
พอเกิดปัญหาขึ้น ก็เกิดความโกลาหล ไม่มีหน่วยบัญชาการที่เป็นศูนย์กลาง ทำงานอย่างเป็นเอกภาพ ตั้งแต่ระบบให้ข้อมูลแจ้งเตือนภัยประชาชน ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทำงานแบบไร้ทิศทาง ไม่ประสานกัน ประชาชนไม่รู้จะหาคำตอบเพื่อรับมือภัยพิบัติจากใคร
นอกจากนี้ ยังพบว่าในแต่ละที่ที่เกิดปัญหาในครั้งนี้ ยังมีเรื่องของการรุกล้ำทางน้ำกันเยอะมาก มีการปล่อยให้ทางน้ำเป็นพื้นที่ชุมชนอยู่อาศัยหนาแน่น สร้างสิ่งก่อสร้าง บ้านเรือน อาคาร ร้านค้า ในระยะถัดไป คุณหาญณรงค์เสนอให้มีการทบทวนว่า ควรปล่อยให้มีการอยู่อาศัยใกล้กับริมน้ำอีกต่อไปหรือไม่ หรืออาจจะต้องมีการวางแผนกันใหม่ นอกจากนี้ ควรให้มีการแก้ไข พ.ร.บ ทรัพยากรน้ำให้มีมาตราที่อนุญาตให้มีการทุบสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่ออกได้ในบางจุด
และในระยะยาว คุณหาญณรงค์เสนอให้มีการทบทวนเรื่องนโยบายและการทำแผนเรื่องการจัดการน้ำของประเทศ โดยต้องมองตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไม่ได้มองแต่ภารกิจของหน่วยงาน คุณหาญณรงค์แนะว่า ถ้าสทนช. อยากวางแผนเรื่องการจัดการลุ่มน้ำต่อไป ต้องอาศัยบทเรียนและประสบการณ์มาปรับแผนเรื่องการบริหารน้ำที่ไม่ใช่เน้นแต่เรื่องการก่อสร้างอีกต่อไป
นอกจากนี้ ประเทศไทยควรมองน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ แแล้วก็น้ำในทะเลอาณาเขตด้วย ควรจะมีคณะกรรมการลุ่มน้ำที่เป็นลุ่มน้ำระหว่างประเทศที่เป็นทวิภาคีเพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะว่าวันนี้มันมีผลกระทบข้ามพรมแดนที่ชัดเจน แล้วควรจะมีตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดภัย แล้วเวลามีภัยจริงๆ จะได้ตั้งรับมันถูกต้อง คุณหาญณรงค์แนะ
คุณไมตรี จงไกรจักร ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไทยและเครือข่ายภัยพิบัติชุมชน กล่าวว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจทั่วปะเทศพบพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติอยู่ราว 4 หมื่นชุมชน แต่รัฐให้งบเสริมสร้างความรู้ความเข้มแข็งชุมชนเพื่อรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ประมาณปีละ 20 ชุมชน ต้องใช้เวลาประมาณสองพันปีกว่าจะทำให้ชุมชนทั้งหมดเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติได้ คุณไมตรีเห็นว่าเป็นจุดอ่อนและรัฐให้ความสำคัญในเรื่องนี้น้อยมาก
นอกจากนี้ ยังไม่มีระบบเตือนภัยที่เข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวางรวดเร็ว ข้อมูลเตือนภัยกระจัดกระจายหลากหลายหน่วยงาน ประชาชนไม่มั่นใจ ไม่รู้จะเชื่อถือหน่วยงานไหนเป็นหลัก เรียกว่าไม่ได้สถาปนาองค์กรในการแจ้งเตือนภัยประชาชน ข้อมูลที่ทาง สทนช. หรือกรมอุตุฯ เคยให้กับประชาชนก็ฟังไม่เข้าใจอ่านไม่รู้เรื่อง ก็เลยไม่รู้ว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ ตอนไหน ยังไง
“นี่เป็นเรื่องที่ต้องสถาปนาองค์กรที่ยืนยันให้ประชาชนเชื่อมั่นรัฐ เมื่อประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐ มันก็เลยกลายเป็นปัญหาเพราะรัฐไม่ทำตัวให้ประชาชนเชื่อมั่น เพราะฉะนั้น การเตือนภัย ต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ถ้าเราเชื่อคุณเราจะรอดได้” คุณไมตรีกล่าว และเพิ่มเติมว่า การรับมือภัยพิบัติของหน่วยงานในระดับจังหวัด แต่ละหน่วยงานต่างฝ่ายต่างทำ ขาดการหลอมรวมเป็นเอกภาพ ซึ่งเขาเห็นด้วยว่าควรต้องมีรูปแบบ single command
และที่สำคัญคือ ในภาวะปกติที่ยังไม่เกิดภัยพิบัติ ควรทำแผนให้ความรู้ประชาชนโดยให้ท้องถิ่นและชุมชนร่วมกันทำแผน ออกแบบการรับมือ วิเคราะห์ภัยที่จะมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเองก็ควรมีความรู้และเข้าใจในงานที่ต้องทำเช่นกัน เพราะหากหน่วยงานผู้ปฏิบัติไม่รู้เรื่องแผนและประชาชนก็ไม่เข้าใจ แผนเขียนดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะจัดการเหตุการณ์ได้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดนี้ คุณไมตรีกล่าว
คุณอภิชาต รุ่งเรือง รองประธานคณะกรรมการคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ เห็นด้วยในการสนับสนุนให้มีการจัดการภัยพิบัติในภาวะปกติ โดยเน้นให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วม โดยเขามองว่า การบริหารจัดการน้ำในภาวะปกติฝ่ายบริหารไม่คิดจะทำเลย พอมีปัญหาทีก็มาปลุกผีสร้างเขื่อนโดยเฉพาะเขื่อนแก่งเสือเต้น ซึ่ง้ขามองว่า ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา
คุณอภิชาติยกกรณีของความพยายามแก้ปัญหาโดยท้องถิ่นชาวสะเอียบ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ หนึ่งตำบลหนึ่งแหล่งน้ำ หนึ่งอำเภอหนึ่งแหล่งน้ำ หนึ่งจังหวัดหนึ่งแหล่งน้ำ ซึ่งลุ่มน้ำยมมีทั้งหมด 77 สาขา ถ้าทุกพื้นที่ติดลุ่มน้ำทำโมเดลแบบสะเอียบ เขาคาดว่า น่าจะลดปริมาณน้ำท่วม จ.สุโขทัยได้โดยไม่ต้องสร้างขื่อนแก่งเสือเต้นแต่อย่างใด
“นี่เป็นการบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืน เป็นการคิดทำแบบมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ที่อยู่กับปัญหาและหาทางออกให้ปัญหาแบบเหมาะสมไม่กระทบกับวิถีของชุมชน”คุณอภิชาติระบุ

รศ. ดร.เสรีกล่าวว่า แผนแม่บทฯ ของประเทศไทย โดยความเป็นจริงได้อิงหลักการป้องกันและรับมือภัยพิบัติของโลกคือหลักการ 2P2R (Prevention, Preparedness, Responses, Recovery) หากแต่องค์ประกอบต่างๆ ของหลักการ อาทิ การประเมินความเสี่ยง ระบบเตือนภัย ไปจนถึงแผนอพยพ ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขสถานการณ์ตามเงื่อนเวลาและสถานที่หรือไม่อย่างไร ยังเป็นคำถามใหญ่ นอกจากนี้ โครงสร้างการทำงานและการบูรณาการของหน่วยงานก็เป็นคำถามเช่นกัน โดยกล่าวว่า โครงสร้างของคณะกรรมการและศูนย์ฯ ระดับชาติที่ตั้งขึ้นเป็นองคพายพที่ใหญ่มาก ขัดแย้งกับทิศทางการจัดการสากลที่ต้องอาศัยความรวมเร็วในการตัดสินใจ
รศ. ดร.เสรีเสนอให้มีการปรับลดโครงสร้างการทำงานรับมือภัยพิบัติโดยเฉพาะกลไกในการบัญชาการและตัดสินใจในช่วงเวลาวิกฤต โดยให้มีคณะทำงานของผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยเหลือสนับสนุนด้านข้อมูลแยกออกจากผู้มีอำนาจตัดสินใจเพื่อให้ท่วงทันต่อสถานการณ์
“(รัฐล้มเหลวไหม?) คือ แน่นอน ถ้าดูผลที่เกิดขึ้น ผลก็คือมีผู้เสียชีวิต มีการสูญเสีย สมมุติที่เชียงรายนี่ก็ 30,000 ล้าน ใช่มั้ย เราต้องยอมรับว่าเราล้มเหลว เราถึงจะหาคำตอบ ถ้าเราบอกว่าเราไม่ยอมรับ เราทำดีทุกอย่าง ก็ไม่ต้องไปหาช่องว่าง หาคำตอบ ถูกไหม
“ภาษาอังกฤษใช้คำว่า The simplest is the best วิธีการที่ง่ายที่สุดดีที่สุดสำหรับชาวบ้าน แต่โอ้โห องคาพยพมันใหญ่มาก อย่างสทนช. บอกว่า ผมก็บูรณาการข้อมูลแล้วก็ส่งให้ พอส่งให้ปุ๊บ มันเกิดอะไรขึ้น ชาวบ้านไม่ได้รับ ทำไมยังเห็นชาวบ้านอยู่บนหลังคาอยู่? มันเกิดอะไรขึ้นที่หน่วยจิตอาสาเข้าไป แล้วต่างคนต่างเข้าโดยไม่มีคอมมานเดอร์เลย ไม่มีการรวมศูนย์เลย แต่มันเกิดที่ท้องถิ่นหมดเลย เห็นมั้ย เพราะฉะนั้นเราก็มีคำถามว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว มันมี gap อย่างนี้ เราจะไม่เข้าไปแก้เหรอ?” รศ. ดร.เสรีกล่าว
รศ. ดร.เสรีย้ำให้มีการส่งเสริมสนับสนุนช่วยให้ท้องถิ่นรับมือกับสถานการณ์และวิกฤติด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นเรื่องยากที่รัฐส่วนกลางเพียงอย่างเดียวจะสามารถรับมือสถานการณ์ในวงกว้างได้
“เราลองจินตนาการว่าเกิดที่เชียงใหม่ เชียงราย เกิดที่ภาคกลาง อ่างทอง โอ้โห เกิดเยอะหมดแล้ว สทนช. จะทำคนเดียวไหวเหรอ มันเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง ยังไงท้องถิ่นก็ต้องทำให้ได้” รศ. ดร.เสรีกล่าว
FB LIVE RECORDING: Dialogue Forum 1 I Year 5: Typhoon Yagi, Monsoons, and the Rising Challenge amid Our Changing Climate

Freelance journalist และอดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์สายการศึกษาและรายงานพิเศษ