การประชุมรับฟังความเห็นโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล (ครั้งที่ 2) โดยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐ กรมชลประทาน วันที่ 18 เมษายน 2567 ณ ห้องประชุมคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นความพยายามหาทางออกในความเห็นที่ยังแตกต่างกันอีกครั้งของผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งเป็นตัวแทนจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลักดันโครงการ ไปจนถึงผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่
เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุมคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีการประชุมรับฟังความเห็นโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล โดยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรมชลประทาน ซึ่งได้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพลหรือที่รู้จักกันในนาม โครงการผันน้ำยวม โดยมี ดร.ศิตางศุ์ พิลัยหล้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และผู้เข้าร่วมประกอบด้วยนายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน ผู้แทนบริษัทที่ปรึกษา นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการลุ่มน้ำปิงและสาละวิน กลุ่มผู้ใช้น้ำ และชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจาก อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน รวมประมาณ 70 คน
ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม และมีการตั้งคำถามโดยประธานในที่ประชุมว่า เหตุใด สผ. จึงไม่เข้าประชุม เนื่องจากเป็นการหารือเรื่องรายงานอีไอเอเป็นการเฉพาะ
กรมชลประทาน
โครงการนี้จะนำน้ำไปช่วยลุ่มน้ำเจ้าพระยา โครงการจะผันน้ำจากน้ำยวมไปลงที่เขื่อนภูมิพล โดยจะนำน้ำส่วนเกินในฤดูฝนไปช่วย ซึ่ง Timeline ของโครงการมีการศึกษาอีไอเอ เมื่อเดือนกันยายน 2559 เข้าคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) และมีการแก้ไข 2-3 ครั้ง และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กกวล.) เห็นชอบในปี 2564 จากนั้นกรมชลประทานได้ลงพื้นที่ ต่อมาชาวบ้าน 66 รายได้ฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่ และต้องทำเอกสารชี้แจงศาลปกครองภายในในวันที่ 25 เมษายน
จากที่ประชุมครั้งก่อน (19 ธันวาคม 2566) มีการเสนอให้ตั้งคณะทำงาน 3 ชุดคือ ศึกษาทบทวนอีไอเอ ศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ และศึกษาทบทวนความเป็นไปได้ทางวิศวกรรม
รศ.ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิชาการสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ลุ่มน้ำปิง-สาละวิน คณะกรรมการลุ่มน้ำมีความกังวลว่า การผันน้ำข้ามลุ่มเป็นข้อที่กังวลมาก โดยเฉพาะจากลุ่มน้ำขนาดใหญ่ ผันน้ำ 1,800 ล้านลบ.ม. เข้ามา มีน้ำยวมให้ผันได้จริงหรือไม่ เอาน้ำมา 70% ของปริมาณน้ำยวม เอาน้ำเข้า 150 ลบ.ม/วินาที เป็นการสูบน้ำที่เร็วมาก ทางวิศวกรรมต้องคุยให้ดี สูบน้ำยกขึ้นไป 150 เมตร ไฟฟ้าที่ กฟผ. จะได้จากเขื่อนภูมิพล และที่ใช้สูบน้ำขึ้น อาจจะไม่ได้อะไรเลย ปริมาณทั้งหมดของลุ่มน้ำยวม ถ้าเอาไปขนาดนั้นมากเกินไป น้ำยวมหน้าฝนมีกี่เดือน มีน้ำถึง 100 ลบ.ม. ได้แค่ 5 วัน เราจะไม่มีน้ำให้สูบเลย โครงการนี้มีปัญหาทางวิศวกรรม
“น้ำยวมผันอย่างไรให้ได้ 1,800 ลบ.ม. ผมว่าไม่ได้ ปริมาณน้ำมหาศาล ขอหารือทางวิชาการ เราต้องรู้ว่ามีวงจรหมุนวนของน้ำ storage ที่เราตั้งไว้ว่าจะสูบน้ำ 150 ลบ.ม./วินาที ขนาดแม่น้ำปิงในหน้าฝนยังไม่พอเลย หากเป็นการร่วมทุนเอกชน PPP ยิ่งหนัก หากช่วงที่เราไม่ต้องการน้ำ น้ำมากในช่วงหน้าฝน น้ำปิงน้ำจะเข้ามา 5,000 ล้าน สะสมในอ่างเก็บน้ำแล้ว แต่ PPP สัญญาระบุให้ต้องส่งน้ำ แล้วการศึกษามีมั้ย เขื่อนภูมิพลเราไม่ต้องการให้น้ำเต็มเขื่อน เพราะต้องเผื่อพายุเข้า ไม่มีใครเอาน้ำไว้ในอ่างแม่ปิง 13,000 ล้านลบ.ม. หรอก ท่านจะสูบน้ำจากแม่น้ำยวมมั้ย ในทางวิศวกรรมคุณสามารถทำได้จริงหรือไม่” รศ.ชูโชคกล่าว
ดร.ประชา คุณธรรมดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์พบว่า น่ากังวล คือ ปริมาณน้ำที่จะผันน้ำยวม 1,795 ล้านลบ.ม. นำสู่ผลประโยชน์ 9,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขผลประโยชน์ที่จะมากกว่าความเป็นจริง ข้อสมมุติต่างๆ ไม่ค่อยสอดคล้องกับการดำเนินการทางการเกษตร ประเด็นสำคัญๆ คือ เราจะเอามวลน้ำก้อนนี้ไปปลูกข้าวจริงหรือ ที่ถามเพราะข้าวภาคกลางเป็นข้าวขาว ในปีที่ดีมีเพียง 7 ปีครั้ง แต่ปีที่เหลือคือ รัฐเอาเงินงบประมาณแสนล้านไปอุดหนุนทุกปี คือเราทำให้การขาดทุนยิ่งขาดทุนยิ่งขึ้น หากโจทย์นี้ไม่ได้คุยก่อน จะเป็นการทำให้มีโครงการเท่านั้น แต่ไม่มีการรับภาระประโยชน์และชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ ผู้ได้รับประโยชน์ต้องจ่าย แล้วพร้อมจ่ายหรือไม่ ปีละพันล้าน หรือ 3,100 ล้านที่ผู้รับประโยชน์ต้องจ่าย พร้อมจ่ายหรือไม่ จ่ายอย่างไร ได้รับคำตอบว่า ให้เอกชนดำเนินการ แต่หากขาดทุน รัฐต้องจ่ายทุกเม็ด เท่ากับว่า เอกชนเข้ามาลงทุนจะไม่ได้เสียอะไรเลย ใครก็ตามที่ตัดสินใจเรื่องนี้ต้องรับผิดชอบแน่ๆ และในอนาคตจะนำไปสู่การฟ้องร้องอีก
ศ.ดร.สุวัฒนา จิตตลดากร นักวิชการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Zoom)
การศึกษาข้อมูลยังไม่ชัดเจน การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมหากชัดเจนก็คงไม่มีการฟ้องร้องแบบนี้ มีข้อสังเกตว่า การลงทุนขนาดนี้ไม่มีทางคุ้มค่าอยู่แล้ว จึงย้อนกลับไปว่า การศึกษาต่อเนื่องที่จะให้เอกชนมาลงทุนร่วมกับรัฐ (PPP) คืออะไร เขาก็ต้องมองความคุ้มค่าผลประโยชน์ตอบแทนจากโครงการ ซึ่งผลประโยชน์ด้านการเกษตรไม่ใช่แน่ แล้วคือประโยชน์ด้านพลังงานหรือไม่ แต่กรมชลประทานเป็นเจ้าของโครงการ ทำไมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่ได้เป็นเจ้าของโครงการ มันผิดฝาผิดตัว การให้เอกชนมาร่วมลงทุนเป็นอย่างไร ข้อมูลการศึกษา PPP นี้ยังไม่ออกสู่สาธารณะ แล้วจะเป็นการเก็บค่าน้ำจากเกษตรกรหรือไม่
ดร.ภวิสร ชื่นชุ่ม อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เคยทำการศึกษาโครงการผันน้ำ South-North Project ของจีน การผันน้ำของจีน ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นหลังคือ ได้รับผลกระทบในอนาคตมากๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องของการปนเปื้อนของสายพันธุ์ alien species มีบางสายพันธุ์ที่เปลี่ยนไปแล้ว เช่นปลาที่เคยจับได้ตอนนี้หายไปแล้ว พืชบางชนิด สัตว์บางชนิดที่กัดกินข้าวในนาของเกษตรกร แต่ในรายงานอีไอเอไม่ได้ระบุและศึกษาเรื่องนี้เลย ไม่มีผู้เชี่ยวชาญ เห็นด้วยกับการตั้งคณะทำงานศึกษาเพิ่มเติม เพราะเป็นเรื่องการเคลียร์ด้านวิศวกรรมซึ่งมีปัญหาอยู่ แต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้พูดกันเลยและจะเป็นปัญหาที่จะเกิดในอนาคต ไม่เกิดขึ้นตอนนี้ การไม่ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ฝนจะเป็นอย่างไร ปริมาณน้ำต้นทุนในอีก 10 ปีข้างหน้า ได้วิเคราะห์กันหรือไม่ ขอเสนอให้ตั้งคณะทำงานและเป็นกลางด้วยกัน และต้องเคลียร์กันให้ได้
นายภาษิต แสงจำนงค์ กลุ่มผู้ใช่น้ำปิงยมตอนล่าง ตัวแทนผู้ได้รับประโยชน์ ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำปิงยมตอนล่าง จ.พิจิตร
อย่าไปกังวลมันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ลมฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไป ฝนตกไม่ได้น้ำ ภาคเหนือตอนล่างยังต้องการน้ำ หน้าแล้งไม่มีน้ำ น้ำปิงก็ไม่มี หากไม่มีน้ำก็ไม่มีโอกาสในการพัฒนา ประเทศของเรามีวัฒนธรรมในการทำเกษตร กระทรวงเกษตรฯ พัฒนาพันธุ์ข้าว จะต้องปรับวิถีชีวิตด้วย อยากให้เปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าการเอาน้ำมาใส่นา เราเป็นประเทศเกษตรกรรม ทุกวันนีก็ยังจนอยู่ โครงการนี้เป็นโครงการระยะยาว พิจิตร นครสวรรค์ กำแพงเพชร อยากบอกว่าทำเถอะ ชลประทานเป็นเครื่องมือ มีหน้าที่หาน้ำให้ทำเกษตร
นายบุญเย็น ใจตา นายกเทศมนตรี ต.อมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
น้ำเขื่อนที่จะสร้างมาจากแม่น้ำยวม จาก อ.แม่สะเรียง และแม่น้ำเงา ขุนน้ำอยู่ที่ ต.ยางเปียง อ.อมก๋อย บ้านคะคอทะ น้ำแม่หลอง ติดกับน้ำแม่ตื่นที่ไหลลงแม่ปิงและแม่โขง จาก อ.สบเมย รวมกันเป็นแม่น้ำเงา อ.อมก๋อยคืออำเภอที่ผลิตน้ำทั้งน้ำปิงและสาละวิน วันนี้ที่เราคุยกันคือ ให้แม่น้ำจากไทยกลับมาให้คนไทยใช้ คนปลายน้ำบอกว่าขาดแคลนน้ำเกษตรกรรม อุตสหากรรม ผลักดันน้ำเค็ม โครงการผ่านที่อมก๋อย แต่ถามว่า อมก๋อยมีคนคัดค้านหรือไม่ เมื่อได้ฟังจากนักวิชการ ตนมองว่าประโยชน์ที่ได้รับให้แก่ประเทศชาติ น้ำในเขื่อนภูมิพลสามารถส่งให้เจ้าพระยา มีน้ำเพียงพอ โครงการเอาดินมากอง จริงๆ ก็ไม่ใช่ที่ดินชาวบ้าน เป็นของประเทศชาติ ป่าสงวนดูแลอยู่ คนอมก๋อยยินดี พอใจที่จะได้รับการชดเชย การเสียหายทางสิ่งแวดล้อมขอให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอีไอเอว่ากองดินไม่ให้เสียหายขุนน้ำลำห้วย เสร็จแล้วให้อปท.ดูแล และอมก๋อยขอสร้างถนน อำเภอเราหนทางยากลำบาก อมก๋อยไป ต.นาเกียนและปากอุโมงค์ เพื่อเป็นโอกาสของคนอมก๋อย คือโอกาส
ความจริงก็คือความจริง เราขาดน้ำ หน่วยงานต้องเอาความจริงมา คนพื้นที่ที่จะกระทบมีความจริงมั้ย น้ำที่เขาสร้างเขื่อนจริงมั้ย โครงการนี้จะเกิดล่าช้า กรมชลประทานท่านรู้ความจริงแต่ท่านไม่พูด หากพูดสิ่งชัดเจนจะได้เกิด ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง

นายศักดิ์ชัย เยมู ผู้ไดรับผลกระทบจากบ้านแม่งูด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่
เป็นชาวสบเมยโดยกำหนิด เห็นแม่น้ำมาโดยตลอด ที่มีความอยากได้น้ำจากแม่น้ำยวม จะบอกว่าทุกวันนี้แม่น้ำยวมปริมาณน้อยลงมาก ลงไปเดินไม่ท่วมตำตุ่ม หากไปดูวันนี้จะเห็นเลยว่าน้ำยวมน้อยมาก
“เขามาเล่าแค่ความฝันลมๆ แล้ง ความจริงแล้วน้ำยวมไม่ได้มากอย่างที่เข้าใจ มันเพียงพอที่จะให้ผันหรือไม่ ทุกวันนี้อยู่ที่บ้านแม่งูด ไปมาหาสู่ เห็นตลอด จะหวังได้อย่างไรว่าน้ำจะเพียงพอในการทำนา เขาอยากได้น้ำยวม แต่ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร” นายศักดิ์ชัยกล่าว
นางยุพา จ่อแผ แม่บ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง บ้านแม่งูด อ.ฮอด
ตั้งแต่สร้างเขื่อนภูมิพล พวกเรานาล่ม เดือดร้อน ไม่มีครอบครัวที่สุขสบาย เขื่อนภูมิพลกั้นน้ำปิงมาท่วมบ้านเรา ที่นากลายเป็นทรายไปทั้งหมด ปลูกข้าวไม่ได้ ไม่มีน้ำ แห้งหมด เราต้องปรับชีวิตเพราะเขื่อนทำนาเราล่ม เราปรับเปลี่ยนชีวิตให้ไปต่อ เราทำสวนลำไย ใช้น้ำจากตาน้ำข้างล่าง เราไม่ได้สุขสบาย ไม่ได้มีความสุข ลูกก็ต้องออกไปหางานทำ หาเงินส่งลูกเรียน ไม่ใช่ภาพที่สวยงาม ถ้าเป็นไปได้ขอเชิญพี่น้องทางท้ายน้ำ มาเยือนบ้านแม่งูด เรายินดีต้อนรับ เราอยากเล่าให้ฟังว่าเขื่อนภูมิพลมาแล้วชีวิตเราเป็นอย่างไร
“ฝากถึงผู้ทำรายงานอีไอเอ ว่าลงพื้นที่ไปแต่ละครั้งอย่าแอบๆ ซ่อนๆ อย่าทำลับลมคมใน โปรดให้ข้อมูลสองด้านได้มั้ยคะ แม่เงาแม่น้ำยวมน้ำแทบจะไม่มีเลย ธรรมชาติของแม่เงาสวยงามมาก เหมือนแม่งูดในอดีต ท่านได้ลงไปดูธรรมชาติมั้ยคะ ดิฉันหวงแหน บอกจะผันน้ำในหน้าฝน ทุกวันนี้เขื่อนภูมิพลหนุนท่วม ชาวบ้านทุกคนกังวล หน้าฝนน้ำเยอะอยู่แล้ว หากเอาน้ำมาสวนของเราล่มแน่นอน พวกเราร้อยกว่าหลังคาเรือน ท่านบอกว่าจะช่วย ช่วยใคร ท่านจะช่วยแบบไหน ช่วยกี่ปี ประสบการณ์เขื่อนภูมิพล หน่วยงานไม่เคยมาช่วย สมัยก่อนสร้างเขื่อนเขาก็บอกแบบนี้ โครงการนี้จะเดินต่อ หรือเผาทิ้งเลย” นางยุพากล่าว
นางดาวพระศุกร์ มึปอย แม่บ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง
บ้านแม่เงา กรมชลประทานนั้นตนอยากขอให้มาสำรวจให้ครบว่า ใครบ้างจะได้รับผลกระทบ และเอาความจริงไปเล่า ที่หัวงานเขื่อนเคยไปสำรวจดีๆ หรือไม่ ถ้าขาทำจริงบอกว่ามีคนได้ประโยชน์แต่เราได้รับบผลกระทบ
“เคยคิดมั้ยทำอย่างไรที่จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คนเสียหายไม่ใช่ว่าไม่ทุกข์ร้อน ทุกวันนี้ประชาชนแม่เงาอาศัยแม่น้ำและผืนป่า เราไม่มีที่ทำกิน รู้ว่าอยากได้นำไปทำนา แต่เรามีเท่านี้ เราทำแค่พอกินดีมั้ยคะ พี่ไม่ได้ทำนาเล็กๆ บอกว่าทำนาเป็นร้อยๆ ไร่ นากว้างมาก ใช้น้ำเยอะ หากเราทำนาขนาดใหญ่แบบนั้น น้ำก็คงไม่พอเหมือนกัน เพราะเราแบ่งน้ำให้คนท้ายน้ำได้ใช้น้ำด้วยกัน หากทำ 50 ไร่ก็คงน้ำไม่พอเหมือนกัน”
รศ.ดร.ศิตางศุ์ พิลัยหล้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
วันนี้เป็นการหารือว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร โครงการผันน้ำยวมเป็นโครงการที่ยังไม่เกิด แต่มีผู้กังวลว่าหากสร้างแล้วจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม การทำงานของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาฯ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เป็นประธาน มีแนวทางว่าโครงการใดที่มีผลกระทบตั้งแต่ในอดีต จะมีการดำเนินการสืบเนื่องเพื่อแก้ปัญหาให้ลุล่วงหรือหารือกัน โดยมีหลักการได้แก่ 1. การพัฒนาของรัฐต้องไม่กระทบวิถีชีวิตของประชาชน สิ่งแวดล้อม 2. การฟื้นฟูเยียวยา คือใช้หลักผู้สร้างผลกระทบต้องเป็นผู้จ่าย 3. ต้องเคารพสิทธิชุมชนดังเดิมเป็นหลัก และเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน วันนี้จะหาแนวทางแก้ไขผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเกิดโครงการ
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีข้อสรุปว่า ให้กรมชลประทานรวบรวมประเด็นคำถามและข้อกังวลทั้งหมด โดยจะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อให้ศึกษาข้อเท็จจริง และให้กรมชลประทานทำหนังสือเพื่อให้ยุติการดำเนินการโครงการจัดทำแผนส่งเสริมความมั่นคงด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ มิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แบบบูรณาการในพื้นที่ชุมชนต้นน้ำสาธิต จ.ลำพูน จ.แม่ฮ่องสอน จ.ตาก และจ.เชียงใหม่ ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน โดยมีการว่าจ้างมหาวิทยาลัยนเรศวร เนื่องจากพื้นที่ที่มีการศึกษาอยู่ครอบคลุมพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการ
ในการประชุม ผู้แทนกรมชลประทานไม่ได้ตอบข้อสงสัยให้กระจ่างแต่อย่างใด