ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่นยืนและเป็นธรรม ร่วมวิเคราะห์ผลการเจรจาฯ COP28 และนัยสำคัญต่อนโยบายของประเทศไทยส่งท้ายปีในเวทีเสวนา Dialogue Forum 6 l Year 4: COP28 และเส้นทางสู่อนาคต (COP28 and the Way Forward) โดยสำนักข่าว Bangkok Tribune ร่วมกับ Decode.plus, ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม, และ SEA Junction ด้วยการสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อาเด นาวร์ (Konrad Adenauer Stiftung, Thailand Office)

ผลการประชุม COP28 และนัยสำคัญเชิงนโยบาย
รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ปวิช เกศววงศ์
COP28 เพิ่งจบไปหมาดๆ ในวันที่ 12 แต่กว่าจะได้ข้อสรุปก็ล่วงมาวันที่ 13 ก็เหมือน COP ที่ผ่านๆ มา มักจะมีการเจรจาที่ไม่ลงตัว กว่าจะลงตัวได้ ก็มีกลุ่มเล็กกลุ่มย่อยอะไรต่างๆ เจรจาก่อนจะได้มาปรับถ้อยคำหรือ wording ให้มีความเหมาะสม
อยากจะสรุปผลลัพธ์จาก COP28 ประเด็นหลักคือ Global Stocktake ที่เป็นการรวบรวมข้อมูลจากที่มีการดำเนินการมาตั้งแต่การทำข้อตกลงปารีสกันเมื่อ 8 ปีที่แล้วว่าแต่ละประเทศมีการดำเนินการอย่างไรไปบ้าง จากที่เราตั้งไว้ 1.5 องศาฯ ไปถึงไหนแล้ว กิจกรรมต่างๆ ที่ทำขึ้นที่จะลดก๊าซฯ การเปลี่ยนผ่านด้านการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นอย่างไร แต่สุดท้าย พอมีการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ก็พบว่า เส้นทางที่เดินมาตั้งแต่ปารีส 8 ปีที่ผ่านมามันค่อนข้างน่าเป็นห่วงกังวล ในการจะ cap อุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาฯ ตอนนี้อุณหภูมิทั่วโลกกลับเกิน 1.2 องศาฯ ไปแล้ว เหลืออีกประมาณ 0.3 องศาฯ ก็น่าจะเกินแล้ว มันมีเพดานที่ 2 องศาฯ แต่เราตั้งใจว่าจะไม่ให้เกิน 1.5 องศาฯ
แนวทางตามที่คุยกันในที่ประชุม COP28 คือ Just Transition หรือการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานฟอสซิล เราก็คงต้องใช้อยู่เพราะว่ามันมีประเด็นข้อถกเถียงระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่กำลังพัฒนาว่ายังต้อง rely on fossil fuels แต่ว่าอย่างไรก็ตาม คำว่า fossil fuels ก็คงค่อยๆ phase down ลงไป ตอนแรกเขาจะใช้ phase out แต่คุยไปคุยมาก็รับกันไม่ได้ เลยเหลือเพียง phase down ที่มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีสำหรับ unabated fossil fuels (ยังไม่ได้บำบัด) ทำอย่างไรที่จะสามารถจะควบคุมการควบคุมปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้นำ้มัน หรือ gas ให้ได้มากที่สุด
เรื่อง Mitigation ยังดีที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทางเลือกซึ่งคงต้องยกระดับเป็น 3 เท่า ณ ปัจจุบัน สำหรับพลังงานทางเลือกก็คงต้องนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง solar cells อะไรต่างๆ รวมถึงอาจจะมองเรื่องนวัตกรรมเรื่องไฮโดรเจน ที่ clean ไม่ใช้ fossil fuels มีคนพูดถึงเรื่อง fusion nuclear ซึ่งเป็นหน่วยเล็กๆ อันนี้คงต้องพิจารณานวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป รวมถึงประเด็นข้างต้นเรื่อง phase down fossil fuels และเรื่องการยกระดับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 2 เท่า
เรื่องที่น่ายินดีคือ วันที่ 30 (พฤศจิกายน) ก็มีข้อมติที่จะจัดตั้งกองทุน Loss and Damage ขึ้นมา แล้วมีประเทศต่างๆ ให้เงินสนับสนุน พอจบการประชุมมีคนเสนอให้เงินรวมกันได้ประมาณ 790 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ พอ convert กลับมา ประเทศที่ได้รับผลกระทบจริงๆ มีประมาณ 140 ประเทศ หารกันคงได้คนละไม่กี่สตางค์ ก็อาจจะต้องมีการเรียกร้องกันอีกทีว่า กองทุน Loss and Damage จะต้องทำอย่างไร เพราะว่าตอนนี้อยู่ในกระบวนการจัดตั้ง committee ขึ้นมา และมีฝั่งของประเทศที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว โดยใช้ World Bank เป็นธนาคารที่บริหารจัดการการเงิน ทาง World Bank มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเงินระหว่างประเทศต่างๆ
และที่สำคัญคือเรื่องการปรับตัว (Adaptation) ตอนแรกมันเป็น Global Goal on Adaptation แต่เพื่อให้เกียรติกับประเทศเจ้าภาพเลยเปลี่ยนชื่อเป็น UAE Framework for Global Climate Resilience การปรับตัวของประเทศไทยก็จะมีเรื่องเกษตร น้ำ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ การย้ายถิ่นฐาน และมีเรื่องสุขภาพ การท่องเที่ยว และหลักอีกอันคือเรื่องการทำอย่างไรให้กลุ่มเปราะบางเพิ่มความสามารถและมีภูมิคุ้มกันในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งเหล่านี้ก็จะปรากฎอยู่ใน UAE Framework ซึ่งมันคงจะสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวของประเทศไทย เราก็ได้มีแผนแรกและจะส่งให้ UNFCCC ในเร็ววันนี้ รอเข้า ครม.
เรื่อง Finance ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอีกอันหนึ่ง จริงๆ แล้วมีการเรียกร้องมาตลอดว่า ในแต่ละปีเราต้องการเงินสนับสนุน ทั่วโลกต้องการเงินสนับสนุนประมาณหนึ่งแสนล้านเหรียญต่อปี (US $100 billion) ปัจจุบันพบว่า มีการ contribute เงินมาสักแค่ประมาณแปดหมื่นห้าพันล้านเหรียญ (US $87 billion) ที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่บรรลุเป้าประสงค์ที่เราได้ตกลงกันไว้ ก็มีการพูดคุยว่าทำอย่างไรที่จะทำให้ยอดการบริจาคหรือการสนับสนุนด้านการเงินของประเทศกำลังพัฒนาได้ หนึ่งแสนล้านเหรียญต่อปี
ประเทศพัฒนาแล้วมองว่า ที่เขาจะให้เงินสนับสนุน จะเป็น grants หรือ concession loans เงินที่ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำมีการนับรวมหรือไม่ ก็คุยกันอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ช่องทางทางการเงินมันก็คงมีการเปิดกว้างให้แต่ละประเทศเข้าไป capture ได้ อันนี้เป็นเรื่องการเงินก็คงยังต้องเร่งให้ทางประเทศพัฒนาแล้ว contribute เงินให้ได้ตามจำนวนที่ได้ระบุไว้

สำหรับคำว่า Just Transition ที่บอก ณ ปัจจุบัน มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน จริงๆแล้วมีการพูดคุยว่าการเปลี่ยนผ่านควรมองเรื่องแรงงาน ผู้หญิง แล้วก็พวกกลุ่มเปราะบางต่างๆ ด้วย ซึ่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเขามีการให้ความสำคัญ civil society หรือ local community อะไรต่างๆ ก็ได้มีการเข้ามามีส่วนร่วมและพูดคุยกันในที่ประชุมว่าการเปลี่ยนผ่านต่างๆ จะต้องนำกลุ่มเปราะบางเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วม เด็กก็ได้รับความสำคัญเพราะว่าครั้งนี้ก็ยังเป็นเวทีสำหรับ youth ซึ่งทาง UAE ก็ให้ความสำคัญมาก
สำหรับเรื่อง technology มีความสำคัญ เทคโนโลยีไหนจะสามารถทำให้การลดก๊าซเรือนกระจกบรรลุเป้าหมาย ตามที่เราได้ commit ไว้ ประเด็น technology ก็มีการพูดคุยหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Hydrogen, Carbon Capture Storage อะไรพวกนี้ เรื่องป่าไม้ก็คงยังพูดถึง แล้วก็ Fusion Nuclear อะไรต่างๆ พวกนี้ เป็นสิ่งที่ต้องมีการพูดคุยกัน อาจมีช่วงต้องทดลอง แต่ละ pavilion มีการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเป็นตัวอย่างให้ดู เรื่องอื่นๆ อย่าง สุขภาพอนามัย โรคอุบัติใหม่ การเกษตร เกษตรยั่งยืน และเกษตรที่มีภูมิคุ้มกันต่อสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยก็เข้าไปร่วมกับนานาประเทศที่เข้าร่วมโครงการ มีเทคโนโลยี งานวิจัยต่างๆ รวมถึงเรื่องเงินสนับสนุนด้านการเกษตร
สุดท้ายเรื่อง capacity building กับ gender ฮิลลารี คลินตัน เข้าไปพูดคุยเรื่อง gender ซึ่งได้รับความต้อนรับเป็นอย่างดี ในกลุ่ม gender กลุ่มสตรี มีกลุ่มที่เข้าร่วมและให้ข้อคิดเห็นเข้าไปมีส่วนร่วมในประเด็นต่างๆ จะทำอย่างไรจะสตรีมีบทบาทนำในสังคมปัจจุบันในการลดก๊าซเรือนกระจก
อันนี้ก็เป็นประเด็นหลักๆ ในการพูดคุย ใน COP28 ดูเหมือนว่ามันไม่มีพัฒนาการที่ค่อนข้างจะ solid สักเท่าไหร่ wording ต่างๆ ก็ยัง call on หรือ encourage ให้แต่ละประเทศดำเนินการในสิ่งที่ตัวเองดำเนินการมาแล้ว ก็อาจจะมีการยกระดับในประเด็นที่ประเทศต่างๆ มีศักยภาพที่จะดำเนินการได้ เพราะว่ามีการพูดคุยแล้วก็เน้นย้ำในเรื่องของตัว common but differentiated (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities; หลักการที่ยึดถือในการเจรจาฯ ในเรื่องความรับผิดชอบในระดับที่แตกต่างและตามศักยภาพของแต่ละประเทศ) ในแต่ละเวที เกือบทุกการเจรจา ก็คงเป็นสิ่งที่ประเทศต่างๆ หรือประเทศกำลังพัฒนาเรียกร้อง อยากให้ประเทศพัฒนาแล้วมามีส่วนร่วมในการให้สนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เทคโนโลยี หรือการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาต่างๆอันนี้ก็เป็นบทสรุปจาก COP 28
ไทยเข้าไปในทุกเวที เวทีที่เราเข้าไปมีส่วนมากที่สุดคือ G77+China ซึ่งเป็นเวทีใหญ่ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาเข้าไปมีบทบาท เรื่องเงินเรื่องทองเราก็เข้าไป voice ท่าทีเราคือเราต้องการเรื่อง Loss and Damage อย่างที่ทราบว่า ประเทศเราปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปริมาณที่น้อย แต่ว่าได้รับผลกระทบในลำดับต้นๆของโลก ฉะนั้นเรื่อง Loss and Damage เราก็ได้มีการหยิบยก เน้นย้ำ และทางกรมเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเอง จะต้องกลับมาพิจารณาเรื่อง criteria ต่างๆ ที่จะสามารถไป capture เงินเหล่านี้ แล้ววิธีการทำได้อย่างไรบ้าง ก็เป็นภาระกิจของกรม เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เราสามารถนำมาขับเคลื่อนประเทศต่อ แล้วก็อาจจะมีการทบทวนตัว NDC ของประเทศ 1.5 path way มันค่อนข้างจะหมิ่นเหม่มากๆ เพราะฉะนั้น เราต้องมาทบทวนแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของบ้านเราอีกที
จีน สหรัฐ ก็ยังคงต้องใช้ fossil fuels อยู่ เพียงแต่ว่าเขามองในลักษณะการจัดการว่า จะทำอย่างไรให้การปล่อยก๊าซ CO2 ออกสู่ชั้นบรรยากาศน้อยที่สุด phase out ก็ยังไม่เลิก หรือจะ phase down fossil fuels ที่เป็น unabated fossil fuels เสียงแตก ก็คือ backward กลับไปอย่างที่เรียน คือตอนแรกที่ผ่านมามันจะเป็นลักษณะ phase out ตัว fossil fuels ใช่ไหม จีน รัสเซีย สหรัฐ ยังคงต้องใช้ fossil fuels อยู่ เขามีท่าทีค่อนข้าง strong การเจรจาวันที่ 12 มันควรจะจบแล้วมันก็เลยไปถึง 13 เพราะมันไม่สามารถจะได้ common position ว่าจะ phase out phase down มันเป็นจุดที่ต้องคิดกันต่อไป
UAE เขาก็คงท่าทีเป็นกลาง ประชุมที่ดูไบ แต่ UAE เขาก็เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ในเรื่องการใช้น้ำมันก็มีส่วน (ต่อผลการเจรจาฯ)ว่ากลุ่ม Opec ก็อาจมีส่วน ครั้งหน้าก็อาจจะได้ภาพที่ strong ขึ้น ว่าที่อาเซอไบจัน ท่าทีต่างๆ ที่จะไปสู่ COP29 คิดว่าคงมีอะไรที่สตรองกว่านี้ แล้วก็มีผลลัพธ์ที่มันค่อนข้างมีความเป็นรูปธรรมกับการลดก๊าซเลือนกระจกได้มากกว่าเดิม









l Credit: Decode.plus/ Tabaiya Jang
FB LIVE RECORDING: Dialogue Forum 6 I Year 4: COP28 and the Way Forward/ สไลด์ประกอบการบรรยายของท่านวิทยากร
“Transition away” from fossil fuels
คุณธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย
อาจจะพูดจากเวทีคราวที่แล้ว มองในมุม Greenpeace สิ่งที่เราอยากจะเห็นจาก COP นอกจากตัว Global Stocktake ก็คือการยุติปลดระวางฟอสซิล (phase out) จริงๆ แล้วมันมีรายละเอียดเยอะ ถ้าสรุปก็คือ การปลดระวางมันต้องเป็นธรรมด้วย มันต้องมีหลักการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ แล้วอีกอันที่สำคัญมากๆ คือ ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย คนที่เป็นผู้ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่จะต้องมีการรับผิดหรือ accountability ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ นโยบายสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยเน้นไปในเรื่องของการลดก๊าซเรือนกระจก ประเด็นเรื่อง Loss and Damage มันก็มีการคุยกันมานาน อย่างที่ท่านรองฯ พูดคือ เราปล่อยน้อย แต่ถูกกระทบเยอะ มีความเสี่ยงสูง เพราะฉะนั้น มันน่าจะมีจุดยืนที่สำคัญในเรื่องนี้ ในฐานะที่สังเกตการณ์อยู่ข้างนอก
มันมีคำๆ หนึ่งที่เราก็คุยกันอยู่ จริงๆ เถียงกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้วก็สื่อมวลชนที่เกาะติดเรื่องนี้มาโดยตลอด ก็คือคำว่า “transition away” from fossils ซึ่งในมุมมองของพวกเราในฐานะภาคประชาสังคม มันเป็นภาษาที่มันมีช่องว่างเยอะมาก ถ้าเทียบกับคำที่ใช้ใน COP26 ที่ UK มันมี phase down of CO2 ถึงยังไม่ใช่ phase out อีกมุมมองหนึ่งเขาก็บอกว่า เราคุยกันมา 30 กว่าปี เราไม่ได้แตะช้างที่อยู่ในห้องก็คือ fossils แล้วอันนี้ก็ถือเป็นครั้งแรก ถ้าดูจากรายงานข่าวก็เป็นครั้งแรกที่พูดถึงคำว่า fossils คนที่ไม่ค่อยสบายใจคือซาอุดิอารเบีย แต่อย่างไรก็ดี ก็เหมือนมีการคุยว่า จริงๆ แล้วเหมือนมีคำว่า fossils ก็จริง แต่พอ transitional away ของ fossils แล้วมันยังไง มันตีความหมายได้หลากหลายมาก
อย่างประเทศหมู่เกาะหรือประเทศกลุ่มประเทศซีกโลกใต้โดยรวมก็มองว่ามันมีช่องว่างและเป็นภาษาที่ไม่ได้ช่วยให้กลุ่มประเทศที่เสี่ยง ยากจน หมู่เกาะ และกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศตอบโจทย์ตรงนั้นได้เลย มันมีการวิเคราะห์อีกว่า จริงๆ แล้วคนที่แอบไปร่วมเงียบๆ ก็คือสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตฟอสซิลเบอร์หนึ่งของโลก เขามีแอ่งแอ่งหนึ่งเรียกว่าเป็นแอ่ง Permian (West Texas and southeastern New Mexico) ที่ใหญ่มากและมี “ก๊าซฟอสซิล” (ก๊าซธรรมชาติ) เยอะมาก แล้วเป็นคนส่งออกทั้งน้ำมัน ทั้งก๊าซฟอสซิลไปส่วนต่างๆ ของโลก
จีนก็ยังผลักดันถ่านหินอยู่ดีนั่นเอง เขามีนโยบายที่จะไม่ลงทุนถ่านหินต่างประเทศ แต่ว่าลงทุนในประเทศ อินเดียไม่ได้รับผลกระทบจาก transitioning away from fossil fuels ใน energy system เท่าไหร่ ก็ยังดันถ่านหินอยู่ มันเหมือนกับว่าคำๆ นี้มันมีความคลุมเครือ กำกวมมากว่า เราจะ transitioning away from fossil fuels ยังไง
อีกอันหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตของเราคือ กัมพูชาก่อนที่จะมี COP ที่ดูไบ กัมพูชาเขามีโปรเจคถ่านหินที่เกาะกง แล้วก็โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินโรงนี้ประมาณ 700 เมกะวัตต์ เข้าใจว่าเป็นนักลงทุนทางจีนหรือสิงคโปร์ สร้างในพื้นที่ที่เป็นเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ และได้รับการต่อต้านจากกลุ่มประชาชนแถวนั้น ก่อนที่รัฐมนตรีเหมืองแร่เขาจะ ไป COP ก็บอกว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกัมพูชา ประกาศยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน แล้วเปลี่ยนไปเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซ แล้วสร้าง LPG เทอมินัลนำเข้าก๊าซเพราะกัมพูชาไม่มีตรงนี้ “ก๊าซฟอสซิลเหลว” ที่เรียกว่าก๊าซธรรมชาติอัดโดยอุณหภูมิติดลบและขนโดยเรือ มันเป็นก๊าซที่เปลี่ยนสถานะของก๊าซเป็นของเหลวและอัดลงไปในคอนเทนเนอร์ เป็นเรือใหญ่ๆ แล้วส่งจากตะวันออกกลางไปยังประเทศต่างๆ และมีการทำให้เป็นก๊าซเหมือนเดิมให้ไปเป็นเชื้อเพลิง ประเด็นก็คือที่กัมพูชาทำ จะเรียกว่าฉลาดก็ได้ เพราะเขา transitioning away from fossil fuels ไปเป็นตัวอื่น ก็น่าสนใจ

แต่สิ่งที่อยากจะแชร์คือ COP28 มีนัยยะหลายอย่างมาก นัยยะหนึ่งที่กลุ่มที่ติดตามเรื่อง fossils มีความกังวลกับ transitioning away from fossil fuels คือการขยายตัวการลงทุนของก๊าซฟอสซิลในเอเชีย วงกลมสีชมพู (ในสไลด์) คือจุดที่เป็นประเทศหรือกลุ่มประเทศที่มีการส่งออก ก๊าซฟอสซิลเหลว ส่วนวงกลมสีเหลืองๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเอเชีย จะมียุโรปบ้าง มีละตินบ้าง แต่ในเอเชียเยอะมาก ประเทศไทยด้วย Southeast Asia ด้วย ก็เป็นคนรับเอาฟอสซิลเหลวมาใช้ ตรงนี้มันมีแนวโน้มมานานก่อนที่จะมี COP28 เข้าใจว่า ในอนาคตบทบาทของ ก๊าซ fossils มันจะมีขึ้นเยอะ จะเป็นตัว transition เปลี่ยนผ่านไปสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืนขึ้น
แต่ทีนี้สิ่งที่สำคัญก็คือ ถ้าดูงบคาร์บอน (Carbon Budget, ปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ประเทศยังสามารถปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้โดยไม่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 1.5 หรือ 2 องศาฯ) ที่เรามีอยู่ในโลก การใช้ก๊าซฟอสซิลที่จะขยายเพิ่มมากขึ้นก็ไม่ตอบโจทย์ขีดจำกัด 1.5 องศาฯ อยู่ดี นอกจากเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว มันมีเรื่องความเป็นธรรม การลงทุน ซึ่งมันจะเป็นประเด็นความท้าทายใหญ่ของระบบพลังงาน
ซึ่งถ้าดูตอนนี้เวลาพูดถึง transitioning away from fossil fuels ในฐานะที่ติดตามและเคยทำเรื่อง energy scenarios ร่วมกับคนในระดับโลก คิดว่ามันมีคำหนึ่งที่เราอาจจะเลิกใช้ไปแล้วคือคำว่า “ปฏิวัติระบบพลังงาน” มันคงไม่ได้เป็นเทคโนโลยีตัวใดตัวหนึ่งตัวเดียว ไม่ใช่แค่ลมหรือแผง solar แต่มันเป็นระบบที่ต้องออกแบบให้สอดคล้องกับบริบทประเทศนั้นๆ แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย เราจะเห็นว่าแม้กระทั่งอุตสาหกรรมเชื้อเพลิง fossils เอง ก็เริ่มกระโจนไปหาพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ประเด็นคือ พลังงานหมุนเวียนของเรามันก็เป็นแบบรวมศูนย์อยู่ดี กระจุกตัว นักลงทุนใหญ่ๆ ก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ ในขณะที่การกระจายพลังงานก็ยังไม่เกิดขึ้น เราก็พบว่าในระบบรวมศูนย์พลังงาน กว่าจะถึงผู้ใช้ปลายทางกว่าจะถึง end users มันก็หายไปประมาณ 3 ใน 4
อยากปิดท้ายในรอบแรกด้วยคำพูดของรัฐมนตรีน้ำมันของซาอุฯ เขาพูดมานานแล้ว เขาบอกว่า เวลาเราพูดถึงการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงาน หรือการเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งไปอีกยุคหนึ่ง ยุคหินไปเป็นยุคโลหะ คือการเปลี่ยนยุคมันไม่ได้หมายความว่าหินมันหมด มันเป็นการเปลี่ยนผ่านทั้งระบบ เวลาเราพูดถึงการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงาน จาก fossils ไปหาพลังงานที่ยั่งยืน ที่สะอาด ที่เป็นธรรม มันไม่ได้หมายถึงว่า น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซ fossils จะหมดไปจากโลก แต่ว่าเราเก็บมันไว้ใต้ดิน ขออนุญาตใช้คำของเลขาฯ UN “ก่อนที่ประตูนรกมันจะเปิด” คือโลกที่มันเดือด โลกที่มันจะเกินไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ตอนนี้ 1.7-2.4 องศาฯ ถ้าเรายังดำเนินต่อไปอย่างนี้
แล้ว transitioning away from fossil fuels มีการถกเถียงกันว่า ระบบพลังงานในภาษาที่ใช้นี้ ตกลงมันเป็นระบบผลิตไฟฟ้า หรือระบบขนส่ง หรือทั้งอุตสาหกรรมอะไรอย่างนี้ คือเถียงกันเยอะมาก แล้วก็ตามอ่านก็รู้สึกว่ามันมีรายละเอียดเยอะ แต่ประเด็นคือว่า COP28 มันมีความท้าทายอยู่ แล้วก็ COP คราวหน้าไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันมีความท้าทาย อย่าลืมว่าอาเซอไบจันเคยเป็นรัฐบริวารของรัสเซียและเป็นผู้ส่งออกน้ำมัน น่าจะอันดับ 7 หรืออันดับ 5 ของโลก ภาษาที่เราได้จากดูไบ ได้จาก UAE อาจจะถูกบั่นทอนอีกก็ได้ ซึ่งก็ต้องจับตาดู
คำที่มันชัดเจนที่สุดคือ phase out แต่มันต้องมีความเป็นธรรม ท่วงทันต่อเวลาด้วย แล้วก็คำนึงถึงอย่างเช่น gender based หรือ feminist based หรืออะไรก็แล้วแต่ ถามว่า ถอยหลังไหม? ถ้าดูจากภาษานี่ ถอยหลังแน่ เพราะ COP26 ยังมี phase down แต่อันนี้ไปไหนก็ไม่รู้ ในความหมายของเรา

Credit: UNFCCC
“เรียกค่าไถ่” และกลไกทางเศรษฐศาสตร์
คุณธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand)
การที่จะมีการขับเคลื่อนมันอยู่ที่คนที่มีเงินและคนที่เสียโอกาส แล้วมันมีกิจกรรมทั่วโลกเหมือนคนไปเรียกค่าไถ่คือ คนที่อยู่ห่างไกลจากประเทศที่มีเงิน แล้วบอกว่าฉันจะตายแล้วๆ เอามีดจ่อคอตัวเองแล้วบอกว่า เอาเงินมาให้ฉันด้วย จะมีใครให้ไหม เป็นอย่างนี้ทั่วโลก ทั้งประเทศที่มีเงิน ประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่มีเงินแล้วกำลังพัฒนา และประเทศที่ไม่มีเงินอย่างเราและกำลังพัฒนา เหมือนเรียกค่าไถ่ตัวเอง แต่ไม่มีกลไกทางการเศรษฐศาสตร์ที่จะช่วยขับเคลื่อน
ประเด็นที่สองคือ มีไอเดียไหม อยากจะขอมองต่างมุมว่า คนที่มีไอเดียเขาไปหารือกันแล้วสื่อสารออกมามากมาย ต้องขอบคุณโมเมนตัมของ COP21 การมี Paris Agreement มาจนถึง COP26 ที่มีการ pledge Carbon Neutrality หรือ Net Zero 2060 ทางเครือของเรา Global Compact ก็มีการพูดก่อนประเทศนิดว่า ภาคเอกชนเราจำเป็นต้อง pledge Carbon Neutrality ใน 2050
ต่อมาเราก็ทำแผน ก็คุยกัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัท oil and gas ว่า พูดก่อนประเทศไม่ได้ จะล้ำเส้น แต่ไส้ในเราทำแผนแล้ว exit from oil หรือ fossils แผนหลายแผน implement ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว แต่เราไม่กล้าพูดล้ำเส้น เพราะเรากลัวว่ามันจะไม่เกิด แต่ความเป็นจริงเงินมันไม่รอใคร สิ่งที่นักธุรกิจเห็นจะเห็นต่างกับคนทั่วไปเลยว่า ถ้าจะทำโปรเจค ใครมีเงิน เอาเงินมาให้เรา แล้วก็เรียกค่าไถ่ตัวเองแบบนี้เขาไม่ทำกัน ภาคธุรกิจเขาก็จะทำในลักษณะที่ว่า ฉันเห็นแล้วว่ามันเป็นโอกาส ถ้าฉันไม่หยุดใช้ถ่านหิน ฉันจะไม่ได้ license to operate จะไม่มีใครมาซื้อสินค้าเกษตรจากเรา
จริงๆ สินค้าเราขายใคร ถ้าเราขายภายในประเทศได้ หรือว่าเราขายซ้ายขวาระหว่างกลุ่มพันธมิตรเราใน Southeast Asia ได้เราก็จบ แต่ความเป็นจริงเราเช็คกับการพาณิชย์ว่า 50% ของ GDP ประเทศไทย ขึ้นอยู่กับเงินที่ซื้อขายกันระหว่างประเทศ คนที่จะซื้อสินค้าและบริการจากเรา เขา request มาแล้วว่าใช้พลังงานทางเลือกร้อยละ 30 ล่าสุดได้ยินว่าร้อยละ 50 แล้ว และล่าสุดกว่านั้นคืออย่างเช่นประเทศจีน เราคาดหวังว่าเราเป็นพันธมิตรที่ดีและโลเคชั่นไม่ไกลจากจีน แต่ทางจีนบอกว่า สินค้านำเข้าของจีนต้องมี label ของคาร์บอนฟุตพรินท์ ภาคธุรกิจตื่นตัวกัน แต่รู้ไหมประเทศไทยเราไม่มีกลไกที่จะให้เกิด ETS (Emission Trade System) ให้คนที่เป็นคนที่ผลิตก๊าซเรือนกระจกเยอะๆ รู้ตัวแล้วก็ cap ตัวเอง แต่ภาคธุรกิจที่เป็นคนทำส่งออกเขารู้แล้ว เขาล้ำไปแล้ว เขาไม่บอกคนอื่นหรอกแต่เขาทำ เพราะถ้าฉันไม่ทำ สินค้าฉันขายไม่ได้ items ที่จะขายเขาไม่ได้ซื้อในนามบริษัท เพราะฉะนั้น เขาไม่แคร์ว่าธุรกิจของเขาต้อง Carbon Neutral ปี 2030 แต่เขาต้องมี items ของสินค้าและบริการ ที่ต้อง label และที่จะไปขายยุโรปทุกตัวต้อง certified
เราจะมี พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราพูดถึงเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์หรือกติกากลไกการตลาดนี้ให้ดีพอหรือยัง ภาคธุรกิจเราก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นคนเห็นแก่การทำธุรกิจอย่างเดียว เพราะเรามองว่าทรัพยากรมันหมดไปแน่ แล้วเกิด crisis ไม่ได้พูดปีแรก พูดมาตั้งแต่ COP21 ตอนนี้ COP28 ก็คือ 7 ปี รู้อยู่แล้วว่าหากว่าเราไม่ทำ Carbon Emission Footprint ให้ดี เราไม่ได้ license to operate คือขายของ

ตอนนี้ แผนของประเทศไทยเราอยากจะให้ทำเป้า NDC ลงมาให้ได้ ทำ carbon emission ลงมาให้ได้ อย่างประเทศอเมริกา 2021 เขาประกาศว่าเขาจะลดให้ได้ครึ่งหนึ่ง คือ 50% ภายใน 2030 หรือประเทศจีนไม่ได้ประกาศแต่ทำ ทำไปล้ำกว่าเรา สัดส่วนแต่ละปีการลดเยอะกว่าเรา ประเทศไทย net positive แต่ว่าเราปล่อยเยอะขึ้นทุกปีๆ ยังไม่เคยมีปีไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เราลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น นี่คือเจ็บปวดมาก
ในเมื่อเราไม่มีกลไกบังคับคน ต่างคนต่างทำ ธุรกิจเขาก็มีค่ายที่ทำและค่ายที่ไม่ทำ ค่ายหนึ่งทำแต่คู่แข่งเขาไม่ทำ ต้นทุนสูงขึ้น 30% มันแพงจริง มันเกิดขึ้นแล้ว อันนี้เราพูดเลยว่าการทำข้าว organic ต้นทุนสูงขึ้น 30% เราจะทำข้าว organic ขายไหม ทำข้าว low carbon ขายไหม ทุกวันนี้เรายังใช้เบนมาร์กกับราคาข้าวตลาดโลกอยู่ ซึ่งมันผิดทางมาก สุดท้ายคนยุโรปต่างประเทศเขาไม่ได้อยากได้ข้าวราคาถูก แต่เขาอยากได้ข้าว low carbon
ประเด็นถัดมาคือ เราอยากจะบอกต่อไปว่ากลไกการตลาดที่เป็น carbon pricing มันเป็นกติกาที่ดีกว่า carbon credit ถ้าหากเราทำ pricing ดีๆ ในประเทศ polluter เขาจะได้รู้ตัว คือถ้าเราเก็บปัญหาที่เราอยากแก้ในประเทศไทย เรามีโครงการมากมายที่เราอยากแก้ แล้วเรารอเงินทุนข้ามชาติ แต่ถ้าเราจะแก้จริงๆ เราไม่ต้องรอเงินข้ามชาติ
ตัวอย่างเช่น เรานั่งอยู่ที่กลางใจเมืองกรุงเทพมหานคร เราเห็นเรื่อง climate change สิ่งหนึ่งที่เราเห็นแน่นอนคือ pollution จากแอร์ที่เกิดขึ้นจากควัน carbon emission ในเขตกรุงเทพฯ มันมาจากสาธารณูปโภค เกิดจากการใช้ในครัวเรือนและการผลิตทั่วไป เช่น ห้าง อาคาร ร้านค้า และขนส่ง ตัวใหญ่สุด polluter คือรถที่วิ่งในถนน เราอยู่ระหว่างเส้นพหลโยธินและสุขุมวิทย์ เราดูว่ารถอะไรหนอที่ปล่อยควันดำทุกวันทุกวัน ลงไปหน้าตึกท้าพิสูจน์ได้เลยว่าถ้าเราต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เด็กๆ ตอบได้เลยว่ามาจากท้ายรถเมล์ เพราะว่าฝุ่นควันดำไม่ต้องบอกเลยว่ามีก๊าซคาร์บอนไหน คาร์บอนมี 7 ตัว ที่ออกมาจากท้ายรถเมล์มีอย่างน้อย 3 ตัว ถ้าเราอยากทำจริงๆ เราไม่ต้องรอต่างประเทศ เราคุยได้ไหมกับพี่คนขับว่าสตาร์ทรถแล้วควันดำไม่ขับ หรือรถไฟฟ้า คิดเล่นๆ โปรเจคแบบนี้เราเสนอภาครัฐได้ไหม
Pollution มี direct impact to health เรื่องของสุขภาพ คนกรุงเทพอีกไม่กี่ปี ไม่แน่ใจว่าสุขภาพจะย่ำแย่ด้วยปอดที่เป็นพิษจากโควิดหรือเปล่า ปอดที่จะเป็นพิษจากฝุ่นควัน การที่จะมีเงินเยียวยาเคยมีการวิเคราะห์มาแล้ว หลายพันล้านบาท แต่การที่เราเจียดเงินมาปรับให้ฝุ่นไอเสียมันหมดไป เราคิดกลับไปที่พระราชบัญญัติอากาศสะอาดก็ได้ หรือพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ action บางอย่างมันง่ายมาก ถ้าภาคธุรกิจอยากทำ เราแค่ขอภาครัฐแค่ว่า เข้าใจไหม ถ้าเข้าใจก็ทำเถอะ ความร่วมมือจริงๆ มันมี แต่ตอนนี้เหมือนคนมีอำนาจไม่ได้เห็นว่ามันเป็น priority ที่สำคัญ ธุรกิจทำไป ไม่อยากเอ่ยชื่อว่าเจ้าใด แต่เชื่อไหมเขาไม่รอ เขาทำไปเยอะมากแล้ว มีการเอาน้ำมันที่ทอดแล้วไม่ทิ้งไปทำเป็นพลังงานสำหรับใช้กับยานอากาศ เครื่องบิน low carbon fuels
ตอนนี้เราขาดโปรเจคที่ bankable แปลว่าอะไร? โปรเจคที่มีไอเดียแต่ว่ามันไม่บังเกิด เพราะคนส่วนใหญ่จะรอว่าเป็นโปรเจคแล้วมันต้องได้กำไร แต่ถ้าพูดถึงศาสตร์ทางมูลค่า โปรเจคเรื่องการลดการปล่อยก๊าซพิษในกรุงเทพ เพราะมันเป็น number one polluter ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกรุงเทพ ถ้าเราจัดการเรื่องนี้ให้ได้ภายใน 3 ปี สมมตินะ return คืออะไร คือคุณภาพชีวิต อย่าคิดว่าเปลี่ยนรถเมล์แล้วได้เท่าไหร่ คนในกรุงเทพ พี่จราจร คนข้างถนนมูลค่าเท่าไหร่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เราสามารถทำเป็น health prevention ได้
ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านเพื่อให้เกิดพลังงานที่สะอาดที่พูดถึงเรื่องของ COP อันนี้กลับมาให้เห็นภาพเลยว่า ทำไมเราต้องการพลังงานสะอาด 3 เท่า ตอนนี้ประเทศไทยมีภาษีคือ มีแดด มีลม เทียบกับเยอรมัน แต่ทำไมเยอรมันถึงสามารถทำให้เกิดพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถึง 50% ฉากทัศน์เขาไปไกลกว่าเรา ทำไมประเทศไทยตกต่ำอยู่ ไปไหนไม่ได้ทั้งที่แดดเราแรงกว่าเขา จำนวนพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่าเขา ซึ่งล่าสุดอาทิตย์ที่ผ่านมาบริษัทหนึ่งได้ pledge มาแล้วว่า จะทำหนึ่งล้านเมกะวัตต์ในประเทศไทยเพื่อให้เป็นพื้นที่พลังงานสะอาดที่เกิดจากแสงอาทิตย์ คือมีแล้วแต่เวลาที่เราสื่อสารออกไปเรายังพูดวนลูปว่า เอาเงินมาให้ฉันทำโปรเจคเถอะ แล้วเหมือนว่าทำไมไม่เอาเงินมาให้ฉัน แต่จริงๆ แล้ว ตัวฉันหรือตัวเราภาคธุรกิจหรือว่าทุกคนสามารถขับเคลื่อนหรือทำอะไรต่างๆ ได้โดยไม่ต้องรอเงิน สุดท้ายเค้าก็จะมาสนับสนุนเอง
และถูกต้องที่ต้องมีนโยบาย อาจจะต้องรอว่ามี พรบ.เรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะพูดถึงเศรษฐศาสตร์ เครื่องมือทางการเงิน การที่จะกำหนดกลไกให้กับคนที่ผลิตสินค้าและบริการให้มีความรับผิดชอบต่อก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น และสุดท้ายมันต้องมาตกที่ผู้บริโภคแน่นอนว่า คุณผู้บริโภคก็อย่าไปซื้อสินค้าเหล่านั้น แต่องค์ความรู้หรือสินค้าเหล่านั้นมันต้องถูกทำความจริงให้ปรากฎ ปรากฎก็คือทำบนฉลาก หรือว่าทำการสื่อสารให้ชัดเจน ถ้าเรามีกลไกบังคับก็ย้อนกลับมา ถ้ามี พรบ.ช่วยบังคับ ถ้ามันมีกลไกที่หัวหน้าห้องช่วยคอนโทรลหน่อย เพราะคนทำดีมีทั้งดีมากกับดีน้อย อย่างน้อยเขาเขียวน้อยเขาจะได้เขียวมากขึ้น
อาจจะไม่ใช่เวลาที่เขาต้องปรับตัวเพราะต้นทุนสูงขึ้นแน่นอน 20-30% ถามว่าถ้าเขายังขายของได้อยู่เขาก็ยังไม่ได้ถึงเวลาที่มีใครมาบังคับให้ต้องทำ แต่จริงๆแล้วเราก็มองว่าเป็นโอกาส ถ้าคุณทำก่อน ตอนที่เขามามองหา supply chain ถ้าเขาต้องการมาตั้งดาต้า center บริเวณไหนหนอที่มีพลังงานสะอาดให้ได้ 100% ซึ่ง บริษัทจากอเมริกาบอกแล้วว่าอยากจะเปิด data center แถวนี้ แต่ว่าอุ๊บอิ๊บไม่บอกประเทศ ที่ไม่ใช่สิงคโปร์ เพราะไม่มีใครตอบให้เขาไว้ใจว่า ภายใน 5-10 ปี เราจะมีพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น 3 เท่า เพราะฉะนั้นพื้นที่ไม่ใช่เขต กทม. พื้นที่ในเขตอีสานเราสามารถทำนาได้ ขณะเดียวกันเราทำ solar farm ด้วย เรามีพลังงานสะอาด ควบคู่กับการเกษตรด้วย ซึ่งโปรเจคเหล่านี้คุยกันมาเกิน 5 ปีแล้ว ขอให้มันเกิด ตรงนี้มันสามารถที่จะทำให้ความเจริญไปสู่ลดความเหลื่อมล้ำ อย่างเช่น ทำไมบางจังหวัดขอนแก่น บุรีรัมย์ เขาถึงมีจุดเจริญ และจุดที่ไม่เจริญ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้รอเรื่องเม็ดเงิน แค่ขอให้มี heroes ผู้นำจะเป็นธุรกิจหรือภาครัฐก็ได้ ไปช่วยกัน มันสามารถสร้างให้เกิดโปรเจคดีๆ ได้

Climate finance เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ และการปรับตัว
รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Finance มันก็จะมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องของ Climate Finance เรื่องของการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ finance ที่ท่านรองฯ แตะไปแล้ว คือเรื่องของกองทุนฯ Loss and damage fund ยังมีตัวเรื่องของปฏิณญาฯ เรื่องของเกษตรยั่งยืน เรื่องของระบบอาหาร ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นคู่ขนานกันได้
อันแรกพูดถึง Climate Finance ไม่ต้องพูดมาก คือมันไม่ค่อยมีพัฒนาการเท่าไหร่ เราตั้งใจว่าจะต้องมีเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศช่วยในการปรับตัวลดก๊าซเรือนกระจก จริงๆ แล้วมันต้องมีอย่างน้อยสองแสนล้านเหรียญสหรัฐ (US $200 billion) ขนาดหนึ่งแสนล้านเหรียญ (US $100 billion) เรายังไม่ได้เลย ล่าสุดที่รวมๆ กันก็ประมาณ 85 พันล้านเหรียญ (US $85 billion) ตรงนั้นคือสิ่งที่ท่านรองฯ แตะไปแล้ว
ถ้าท่านจำได้เมื่อเวทีที่แล้ว ความยากของโจทย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมันมาจากปัญหาพื้นฐานเรื่องของตัวชั้นบรรยากาศโลก มันเป็นสินค้าสาธารณะ มันจึงไม่มีประเทศไหนที่อยากจะลงขัน จ่ายเงิน และให้คนอื่นได้ประโยชน์ แต่ตัวเองเสียประโยชน์ แล้วก็ไม่มีอำนาจกฎหมายใดๆ ในโลกนี้ที่ไปสั่งให้ประเทศหนึ่งหยุดทำการ นั่นคือเราไม่มีตำรวจโลก ฉะนั้น ความร่วมมือ commitment เป็นสิ่งที่สำคัญ รวมถึงในเรื่องการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ถ้าเราจะไปด้วยกันได้ ถ้ามีคนหนึ่งเสียประโยชน์ คนหนึ่งได้ประโยชน์ ไม่มีทางไปได้ หาทางทำอย่างไรให้เกิดผลประโยชน์ร่วม ตรงนี้คิดว่ามีความสำคัญมากๆ อันนี้ขออนุญาตสรุปเร็วๆ เรื่องเงินบริจาคประมาณ 85 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะเห็นว่าประเทศไหนบริจาค อย่างประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกาก็บริจาคน้อยเหลือเกิน
ในแต่ละปีการสูญเสียอันเนื่องมากจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประมาณ 1.8% ของ GDP โลก หรือถ้าเป็นเงินบาทประมาณ 53.5 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่า GDP ประเทศไทยประมาณ 2-3 เท่าตัว ซึ่งตรงนี้ถ้าเราจะลดความเสียหายได้เราต้องกันเงินไว้อย่างน้อย 3 ล้านล้านบาท- 20 ล้านล้านบาท พูดง่ายๆ เงินที่เราได้แบ่งจากสหรัฐเป็นแค่เศษเสี้ยว ถ้าเอาไปแบ่งแต่ละประเทศยิ่งจะไม่ได้อะไร นี่คือประเด็นแรกที่ได้พูดไว้ว่ามันอาจจะไม่พอ
แล้วเรื่องของข้อสรุปของ COP28 การสรุปเรื่องขอบเขตของความเสียหายในเวทีนี้ก็ยังไม่ชัด หรือประเทศใดบ้างที่ควรมีสิทธิได้รับการสนับสนุน มีการพูดแค่ว่าประเทศกำลังพัฒนาใช่ไหม ที่มีโอกาสมีสิทธิโดยอาจจะให้ความสำคัญมากกับประเทศทางหมู่เกาะเล็กๆ แต่ก็ยังเปิดโอกาส คำถามคือ ประเทศจีนที่ปล่อยเยอะ ก็เป็นประเทศกำลังพัฒนา จะได้เงินด้วยหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่ได้คำตอบเช่นกัน หรือข้อสรุปในแง่ของกองทุนฯ คือจะมีแนวทางในการเอาเงินมาใช้ยังไง จะเพียงพอไหม จะทันการไหม ก็ยังไม่ได้มีการสรุปจากการประชุมนี้ค่อนข้างจะผิดหวังเล็กน้อยในเรื่องของความก้าวหน้า
และมีอีกประเด็นที่น่าสนใจมากๆ และมีการถกเถียงกันคุยกันคือ ทุกคนบริจาครวมๆ กัน 800 ล้านเหรียญ ประเด็นก็คือ มันเป็นบริจาคครั้งเดียวปีเดียวและจบไป แต่ความเสียหายมันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวปีเดียว มันเกิดขึ้นทุกปี คำถามคือ จากนี้ไปแต่ละปีเราจะมีเงินมาเข้ากองทุนนี้ได้อีกไหม หรือถ้ามี แค่นี้ต้องบอกเลยว่าการปรับตัวในอนาคตยากลำบากมาก เราจะ transition ไปสู่อุณหภูมิไม่เกิน 1.5 ตรงส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่ลำบากมาก

อันที่ 2 ที่เป็นประเด็นสำคัญที่เป็น key highlight หลายท่านแตะเรื่องพลังงานไปแล้ว ขออนุญาตแตะเรื่องเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร รวมๆ กันแล้วมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยประมาณ 1 ใน 3 ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด แล้วในอดีตที่ผ่านมาก็แตะประเด็นในส่วนต้นน้ำเยอะ แต่ไม่ได้แตะกลางน้ำ ปลายน้ำ
มีสิ่งที่ออกมาจากปฏิณญาฯ มีวัตถุประสงค์คร่าวๆ อยู่ประมาณ 5 ข้อด้วยกัน ข้อแรกคือ จะทำอย่างไรที่เราจะขยายผลการปรับตัว แล้วเพิ่มภูมิคุ้มกันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้ได้ เรื่องการเงิน Climate Finance หรือ Loss and Damage Fund มาแตะตรงนี้ได้เช่นกัน หรือข้อที่ 2 พูดถึงความมั่นคงทางอาหาร แล้วก็เรื่องโภชนาการด้วย ความเสียหายไม่ใช่แค่ภาคเกษตร แต่เขาพูดถึงเรื่องคนด้วย เพราะว่าเราพูดถึงเรื่องระบบอาหาร มันหมายถึงผู้บริโภคด้วย การได้รับสารอาหารที่ครับถ้วนก็สำคัญมาก
มิติของแรงงานเมื่อสักครู่ท่านรองฯได้แตะไปว่า เราคำนึงถึงด้วย เด็ก ผู้หญิง ต่างๆ มีการเจาะลึกมากขึ้น รวมถึงการจัดการน้ำอย่างองค์รวม ทำอย่างไรเรื่องเกษตร อาหาร จะคำนึงเรื่องแหล่งน้ำอย่างองค์รวม ไม่ใช่เกษตรก็ปลูกไป ระบบอาหารขาดแคลนน้ำ ที่เหลือไม่สนใจมันต้องมีการวางแผนร่วมกัน และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคเกษตร กับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ครัวเรือน ภาคการบริโภค ภาคการท่องเที่ยว ตรงนี้ต้องคิดรวมกันทั้งหมด
อีกเรื่องหนึ่งคือ เราจะฟื้นฟูระบบนิเวศน์อย่างไร เราจะอนุรักษ์ เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีภูมิคุ้มกัน ถ้าเราอยู่บนสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ว่าเราจะเกิด climate change ยังไงก็ตามแต่ ผลกระทบมันจะน้อยลง ภายใน COP30 หรือปี 2025 หรือ พ.ศ.2568 เขาคาดหวังว่าประเทศแต่ละประเทศควรต้องมีสิ่งเหล่านี้ สิ่งแรกเราต้องมีการใส่เกษตรและอาหารให้ครอบคลุมในแผนปรับตัว อันนี้เรามี การมีส่วนร่วมในแผนเราก็มี เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ หรือแผนปฏิบัติการอื่นๆ พูดง่ายๆ ทำอย่างไรให้เรื่องเหล่านี้บรรจุไปในแผน เราต้อง main streaming ประเด็นนี้ให้ effective ในเชิงปฏิบัติ
ประเด็นต่อมา การทบทวนนโยบายภาครัฐ เราจะต้องคิดใหม่แล้วว่านโยบายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมันเอื้อให้เกิดการปรับตัวไหม มันเอื้อให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย ภาคเกษตร ไม่ค่อยมีการส่งเสริมการปรับตัวเท่าไหร่ อย่างที่พูดก่อนหน้านี้นโยบายการช่วยเหลือการให้เงินแบบไม่มีเงื่อนไข หรือเยียวยา ถ้าเราให้ต่อไปเรื่อยๆ เกษตรกรก็ไม่ปรับตัว สุดท้าย climate change มา ก็เจ็บตัวเหมือนเดิม
ประเด็นที่ 3 การขยายขนาดและส่งเสริมการเข้าถึงการเงินทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง จากภาครัฐ องค์กรการกุศล และภาคเอกชน ความพยายามเรื่องการแก้ปัญหาเรื่องอากาศสะอาด climate change ที่ผ่านมา รัฐบาลใช้วิธีการให้ปฏิบัติตาม command and control เยอะไปนิด แต่ขาดรูปแบบของการให้เงินช่วยเหลือ ทั้งองค์ความรู้ด้วย เช่น บอกให้เกษตรกร หยุดเผา คำถามคือ เราจะให้เขาไปทำอะไร การปรับตัวทุกอย่างมีต้นทุน ทั้งการเงิน ทั้งความรู้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐจะต้องเข้าใจให้ได้มากขึ้น ในอดีตที่ผ่านมาเงินช่วยเหลือก็ยังไม่มีเท่าไหร่
รวมถึงอีกอันหนึ่งคือ เรื่องของกลไกการทางเศรษฐศาสตร์ที่มากกว่าบังคับการให้ปฏิบัติตาม เรื่องของกลไกแรงจูงใจ ไม่ว่าจะเป็นตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต ETS หรือภาษีคาร์บอน ในเชิงทฤษฎี 2 อันหลังนี้ให้ผลไม่แตกต่างกัน ถ้าเรารู้ผลกระทบภายนอกที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่ประเทศไทยเราก็พูดกันมานานแล้ว ก็ได้ยินข่าวเรื่องภาษีคาร์บอนใช่ไหม เราอาจจะเริ่มมีเอามาใช้บ้าง เรื่องภาษีคาร์บอน เราอาจเอามาใช้ได้บ้างในแง่การปฏิบัติ เพื่อบรรลุเป้าหมายคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดให้ได้ การใช้ภาษีมันคือการแทรกแซงทางราคาในเชิงเศรษฐศาสตร์ มันไม่ได้การีนตีการลดเป้า แต่ถ้าเราลดในเชิงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต สิ่งที่เราเรียกว่า cap and trade ก็คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการลดเพดานลงเรื่อยๆ ส่วนนี้เราจะมั่นใจได้มากขึ้น ในส่วนของเป้าหมายที่เราจะบรรลุนั้นเอง
ตรงภาษีคาร์บอนน่าสนใจ ยุโรปมีกลไกเรื่องภาษีคาร์บอน จริงๆ แล้วอันนั้นเป็นภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ แต่เรายังมีภายในประเทศเอง สินค้าหลายตัวส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ทั้งสินค้าภายในประเทศ หรืออาจจะถูกเก็บเพิ่มจากไปต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้ก็มีการพูดถึง ไม่ได้บังคับใช้แต่เตือนแล้วของ CBAM ซึ่งตอนนี้เกษตรอาจยังไม่โดน อาจโดนสินค้าหลักๆ ก่อน ไม่ใกล้ไม่ไกล ทุกอย่างมันก็จะตามมา อันนี้มันคือกระแสโลก ถ้าเราไม่ปรับตามกระแสโลก สุดท้ายเราก็จะอยู่ไม่ได้
คุณธันยพร: อีก 2 ปี ในปี 2026 จะมาเป็นพวงอีกหลายตัว ตัว cross border adjustment mechanisms ถ้าไทยฉลาด ต้องทำ carbon pricing ภายในประเทศแล้วเก็บภาษีให้จบ ไม่จำเป็นจะต้องให้เขามาเก็บภาษีตอนที่เรานำเข้าข้าม border ประเทศ เราอยากขายสินค้าในยุโรปทำไมเราถึงอยากขายให้กับคนที่เขาอยู่ที่นั่น เพราะเขามีเงินเยอะ เขายอมจ่ายแม้กระทั้งค่าขนส่ง ค่าการผลิต บวกๆๆ 3-4 อย่าง และบวกภาษี การนำเข้าเดิม บวกขึ้นมาก็คืออันที่ adjust สำหรับคาร์บอนถ้ายังไม่ได้จัดเก็บภาษีที่ต้นทาง ประเทศจะฉลาดกว่าไหมถ้าเราเก็บภาษีต้นทางไว้ที่เมืองไทย แล้วเราเอาภาษีนั้น เหมือนภาษีบาปคาร์บอนก็ได้ มาทำ adjustment บางอย่างในประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจก เก็บไปเลยภาษี แต่เขา (ภาคธุรกิจ) รู้ว่าเขาเต็มใจจ่ายภาษีเพราะว่าอะไร เพราะเงินที่เก็บเอามาช่วยให้ซื้อเครื่องจักรใหม่ มาช่วยลดการแข่งขัน เพื่อลดการผลิต เป็นสังคม low carbon ได้ mechanicm แบบนี้ง่ายมาก แต่ทำไมไม่ทำ
พูดตรงๆ เลยว่า จริงๆ cross border เขาเขียนเสือให้วัวกลัว แต่เราไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะว่าเราสามารถทำตั้งแต่ภาษีก่อนออกประเทศไทย อันนี้คุยง่ายๆ เลย customs ของไทยที่จะ export สินค้า เราทำ duty free ได้ ทำไมเราทำ duty ของ tax ของคาร์บอนไม่ได้ ประเทศจีนเขาอาจจะไม่อยากเก็บเพราะว่าเขามองว่าอาจจะกลายเป็นการเมืองหรือกีดกันทางการค้า แต่เขาบอกว่าสินค้าจากประเทศอื่นถ้าจะเอาเข้าจีนต้องติด label ว่า carbon footprint นี่ก็ชี้ว่าคนจีนเขาไม่ซื้อหรอก เพราะว่า พูดตรงๆ นะ เสล่อ เขียนคาร์บอนไปเยอะแยะเลย คนจีนเขาเห็นเขาก็เลือกสินค้าภายในประเทศ เพราะไม่ต้องนำเข้า ไม่ต้องเสียภาษีขนส่งระหว่างประเทศ และคาร์บอนต่ำกว่า เพราะฉะนั้น มันเป็นการกีดกันเชิงผู้บริโภคด้วยว่าผู้บริโภครู้เท่าทันสินค้าที่เอามาจากต่างชาติที่คาร์บอนสูง ฉันไม่ซื้อหรอก
คือเรื่องพวกนี้นักธุรกิจมองเห็นหมดแล้ว แต่ทำไมประเทศไทยไม่กำหนดกติกาอะไรบางอย่าง หัวหน้าห้องทำไมไม่ทำอะไรบางอย่าง ทั้งๆ ที่หัวหน้าห้องไม่ใช่คุณครู แค่ต้องมีคนนำนิด และเราจะได้รู้ว่าเราไม่ต้องกลัว CBAM เพราะว่าจริงๆ แล้วเรามีคาร์บอน tax ในประเทศ ซึ่ง step ต่อไปที่ดีกว่า carbon tax คือ carbon pricing เรากำหนดต้นทุนของเราที่ในประเทศแล้วเราสามารถแคปเงินเหล่านั้นมาใช้ในการเยียวยาแล้วก็พัฒนาด้วยในประเทศเราดีกว่า
รศ.ดร.วิษณุ: ขอเสริมเพิ่มเติมเลย จริงๆ แล้ว กลไกทางเศรษฐศาสตร์เป็นสิ่งที่ควรจะต้องนำมาใช้ แต่สิ่งเหล่านี้การจะนำมาใช้ มันก็จะต้องเตรียมความพร้อม แล้วก็มีการคำนึงถึงแต้มต่อด้วย ต้องไม่ลืมว่ามันมีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นในเชิงธุรกิจหรือเชิงการปฏิบัติตาม ธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดเล็ก คำถามคือ ในเรื่องขององค์ความรู้ต้นทุนในการปฏิบัติตาม มันมีความแตกต่างกันในเชิงของไซต์ของธุรกิจ ถ้าเราเรียกในเชิงเศรษฐศาสตร์มันคือต้นทุนในการต่อขนาด มันมีความแตกต่างกัน องค์ความรู้ก็น้อย ตรงส่วนนี้เองภาครัฐเองจะต้องเข้ามาช่วยเหลือก่อนในตอนแรก เช่น จะเก็บภาษีคาร์บอนอะไรก็ตามแต่ ก็ต้องให้องค์ความรู้ ให้เงินช่วยเหลือ คิดว่าตรงสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เราจะออกแบบมาเฉพาะมาตรการแล้วให้ทำเลย อันนี้ยากมาก
จากมาตรการเมื่อซักครู่ ก็จะมีเรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่บ้านเราเองให้ความสำคัญน้อยอยู่ เราจะทำอย่างไรที่จะหาเม็ดเงินไปดึงการช่วยเหลือมาพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงภูมิปัญญาชาวบ้านมายกระดับภาคเกษตรหรือระบบอาหาร ส่วนนี้ก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก แล้วในปฏิณญาฯ เอง ก็มีเรื่องการค้าของพหุภาคี ทำอย่างไรให้เปิดกว้างโดยใช้กลไกของเรื่องการค้าโลกเข้ามาช่วยด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่พูดง่ายๆ ว่าประเทศเองต้องเตรียมพร้อมภายในอีก 2 ปีข้างหน้าเพื่อเอาไปคุยกับเขา แล้วมันยังมีปฏิณญาฯ อื่นๆอีกที่เราพูดถึงกันในเรื่องของ Methane อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันนี้ตามปฏิณญาฯ ก็แตะอยู่ในเรื่องของพลังงาน ซึ่งอนาคตมันอาจขยายผลมาเป็นภาคอื่นๆก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยก็ปลูกข้าวเยอะ มีเทนก็ปล่อยมาก ถ้าเราเตรียมพร้อมไว้ ออกแบบดีๆ เราจะดึงเงินมาในประเทศได้เยอะเลย จะบอกว่ากลยุทธของประเทศไทยจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพื่อขยับ หาโอกาส ภายใต้วิกฤติที่มีอยู่

“น้ำผึ้งเคลือบยาพิษ” และความเป็นธรรมในโลกของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการเจรจาฯ
คุณวนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand
เห็นด้วยกับหลายท่านและที่ตั้งคำถามกับหลายเรื่อง ถ้าเราเคยได้ยินคำว่า “น้ำผึ้งเคลือบยาพิษ” อันนั้นแหละคือผลของ COP28 ที่ออกมา น้ำผึ้งอันแรกที่เราได้เห็นก็คือที่เอามาหลอกล่อเราในวันแรกเลยคือ Loss and Damage Fund ว่า operationalised แล้ว แต่ในเชิง governance ยังไม่มี ต้องอาศัยการตกลงกันของ COP ก่อน คือพอรู้แล้วว่าเงินจะอยู่ที่ใด แล้ว World Bank (ที่จะมาช่วย run) มีปัญหาอีก แต่เราไม่ได้มีแค่ Loss and Damage Fund ไม่ได้แค่กองทุนนี้เกิดขึ้นครั้งแรก โลกนี้มีแล้ว อาทิ Green Climate Fund ประเทศไทยได้มาแล้ว 2 โครงการ เพราะฉะนั้น เมื่อมีความยินดี มันเป็นน้ำผึ้งมาแล้ว เรื่องของการพูดคุยถึงเม็ดเงินที่จะต้องเอามาใส่เข้าไป Green Climate Fund จึงแผ่วลงทีเดียวใน COP นี้ ไม่ทราบท่านเห็นด้วยไหม เพราะฉะนั้น Green Climate Fund ยังอยู่และเรียกร้องให้มีเงินเข้าไปอีก เงิน US $100 billion
ไม่ใช่แค่นั้น ท่านจะเห็นเวลาเราคุยเรื่องเงินมันคือ political figures หลายท่านพูดถึงหลายๆ trillion ด้วยซ้ำ เรามีการพูดถึง long term finance เป้าหมายไหม่ของ finance เหล่านี้ทั้งหมดต้องเข้ามาใส่ใน new goal ของเรื่อง Finance ไม่ใช่แค่เรื่อง political figures คำถามต่อคือ ใครจะเป็นคนให้สตางค์ ต้องพูดเรื่องนี้ว่า ระบบโลกที่เราอยู่มันเป็นผลพวงมาจาก colonization มันเป็นผลพวงของความไม่เป็นธรรมมาตั้งแต่อดีต มันเป็นผลพวงของการเข้าครอบงำ ณ ปัจจุบันมันเป็นการเข้าครอบงำทางเศรษฐกิจ ตอนนี้มันมีเรื่อง racism ด้วยซ้ำ ระบบต่างๆ มันเกิดมาในยุคก่อนที่เราจะเกิดด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น มันถูกฝังรากฝังลึก climate issue ก็เป็นเรื่องหนึ่งในนั้น มันเกิดจากที่หลายๆ ท่านและท่านรองฯ ก็ได้เน้นด้วย ธารา ก็เน้นด้วย ใครที่เป็นคนก่อ? มันไม่ได้ก่อเมื่อวานนี้ มันก่อมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันนี้เราเป็นประเทศกำลังพัฒนา เพิ่งพัฒนา เราจึงมีการ emission ถูกไหม เพราะฉะนั้น อนุสัญญาแม้ไม่ใช่สิ่งที่กฎหมายบังคับ แต่เป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้การรับรองแล้ว Right to development นี่คือประเด็น ถ้าจีนและอินเดียที่อยากจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เขามี right to development สิทธิของเขาในการเข้าถึงการพัฒนา
แล้วใครต้องเป็นคนชดใช้ ใครต้องเป็นคนจัดการ? ก็คือคนที่ปล่อยมาตั้งแต่ยุคอาณานิคมและยุคอุตสาหกรรม แล้วสิ่งที่อนุสัญญาเองเรียกร้องในเชิงของความเป็นธรรมในเรื่องโลกร้อนด้วย ก็คือต้องให้สตางค์ คนที่ก่อต้องทำก่อน คือต้องลด คนที่ก่อต้องใช้หนี้ ต้องให้สตางค์ มีหลายท่านพูดเรื่องของ Climate Finance ที่เราต้องให้นิยาม ใน COP28 ต้องพูดเรื่อง Climate Finance definition อันนี้มีประเด็น ประเทศที่พัฒนาแล้วตัวก่อมลพิษหรือ Global North บอกอยู่แล้วว่าเขาให้สตางค์ ใครบอกว่าเขาไม่ให้สตางค์ แต่ประเทศที่พัฒนาบอกแล้วว่า เฮ้ย เงินที่ได้ต้องเป็นไปตามอนุสัญญา ที่ต้องเป็นเงินให้เปล่า และเป็นเงินที่ไม่ได้ก่อหนี้ แต่สิ่งที่ให้พวกคุณให้กลายเป็นรูปของหนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มี definition เรื่อง climate finance ว่าต้องเป็น grant based มันจะเป็น loan กว่า 70% มันเป็น loan มันเป็นหนี้ คุณคิดว่าบ้านดิฉันหรือบ้านเพื่อนบ้านถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำท่วมแล้วหายไป คุณจะให้ฉันสร้างบ้านเองหรือ มันมีคนทำให้เกิดน้ำท่วม มันมีคนทำให้เกิดไฟไหม้ ทำไมเราจะไม่เรียกร้องกับเขา ต้องเรียกร้องให้เขาชดใช้อันนั้น นี่คือสิ่งที่เป็นประเด็นหลักในเรื่องของความเป็นธรรม ไม่ได้อยากจะมาขอสตางค์อย่างเดียวนะ มันต้องถูกชดใช้
แล้วทำไมมันต้องเป็นเงินใหม่ เป็นเงินของ public เพราะมันคือหนี้ที่เขาทำไว้ สิทธิถ้าอยากจะให้ประเทศอินเดียหรือประเทศจีนที่ใช้ถ่านหิน หรือ fossils สูง ให้เกิด balance outcome ที่อยากให้ที่เกิดขึ้น ควรต้องมี อยากให้เขาลด เงินมีไหม เงินอยู่ไหน นั่นคือความเป็นธรรมตามอนุสัญญา เมื่อเจรจามา 28 ครั้ง มองเห็นว่าเรื่องนี้มันถูก dilute ไปเรื่อยๆ เจือจางไปเรื่อยๆ กลายเป็นโลกนี้มีใบเดียว ทุกคนที่มี capacity คนที่มีสตางค์ ใครที่มีเทคโนโลยี มาช่วยรักษาโลกกัน
ประเด็นความเป็นธรรมที่เขาทำให้บ้านฉันถูกไฟไหม้ บ้านฉันถูกน้ำท่วม จะให้ฉันเอาเงินมาจากไหน มันต้องเรียกร้องตรงนั้นด้วย ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันจึงเป็นน้ำผึ้งเคลือบยาพิษ เรามีคำว่า fossils แต่มัน step back มาก คิดว่ามันเป็นความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ แม้ว่าทุกครั้งมันเป็นความสูญเสียในแต่ละ COP รอบนี้มันยิ่งใหญ่มากเพราะมันเป็นการยกระดับของบางเรื่องที่เป็นอันตรายและออกนอกเส้นทาง มีการพูดถึงเทคโนโลยีจีโอเอ็นจิเนียริงที่ทาง UN ใส่ moratorium ยังไม่รับรอง บอกให้ชะลอไว้ก่อน มีการพูดถึง CCS Carbon Capture Storage nuclear ไฮโดรเจน

โชคดีอย่างหนึ่ง อันนี้เรา quote ได้ด้วย สิ่งที่เกิดและดีที่สุดคือการตกลงกันไม่ได้เรื่อง carbon trading ดีที่สุดของ COP นี้ มาตราที่ 6, 6.2, 6.4 (Article 6 ใน Paris Agreement ว่าด้วยการซื้อขายคาร์บอนรูปแบบต่างๆ) ไม่งั้นแย่มากๆ พี่น้องดูแลเรื่องป่าจะทำอย่างไร nature based solutions อันที่ 2 เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครไปทำสัญญาอะไรกับรัฐบ้าง ซื้อขายคาร์บอน ยกตัวอย่าง 1 โครงการซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากและคิดว่าเป็นข่าวเยอะด้วย โครงการของสวิสที่มาซื้อคาร์บอนเครดิตของประเทศไทย เรื่องการใช้ E-bus อันนี้มันมีความไม่แน่นอนอยู่ เพราะ 6.2 กับ 6.4 ไม่ได้ตกลงเรื่องการซื้อขายคาร์บอนที่ต้องเปิดเผยกับสาธารณะ เพราะฉะนั้นเรื่องดีคือ ยังไม่ตกลงในที่นี้ดีกว่าตกลงแล้ว ซึ่งจะกลายเป็นว่าเราไม่สามารถเอาข้อมูลหรืออะไรต่างๆได้เลยในเชิงการเปิดเผยข้อมูล ต้องตามดูต่อเรื่องนี้
เรื่อง phase out, phase down น่าเสียใจมากอย่างที่คุณธาราพูด วันนั้นวันสุดท้ายเขาเรียกว่า North Star หรือ ดาวเหนือ คือ 1.5 องศา เราเห็นแล้ว (within reach) ดาวเหนือได้แน่นอน แต่ไม่สนใจวิธีว่าเป็มธรรมหรือไม่ในการไปสู่เส้นทางที่จะทำให้อุณหภูมิโลกไม่สูงไปกว่า 1.5 องศาฯ เส้นทางที่ออกมาไม่มีเรื่องความเป็นธรรมเลย เงินไม่มีแต่อยากแต่จะลด ใครจะลด ประเทศกำลังพัฒนาอย่างของไทยเรามีประเด็นหลายเรื่องที่จะต้องใช้งบประมาณถูกไหม เพราะฉะนั้น ถ้ายังพูดถึงเรื่องของการศึกษา การเข้าถึงการศึกษา เรื่องของการเข้าถึง social welfare ต่างๆ คุณจะให้เราเจียดเงินเหล่านี้ไปดูแลเรื่องโลกร้อน โดยที่ประเทศไทย พี่น้องเกษตรกรในประเทศไทย หรือพี่น้องกลุ่มอื่นๆ ไม่ได้เป็นคนก่อได้ยังไง เงินมีเรื่องที่ต้องใช้อยู่แล้ว
กลุ่มธุรกิจมีเงินทุนทำไปเลย เราเจอมาแล้วว่าสิ่งแวดล้อมหลายๆ ที่เสีย มีกลุ่มทุนที่ทำให้เสีย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจว่าเหมือนคนที่ทำบาปมาแล้วกำลังจะกลับใจ ไม่ใช่ เขาจะต้องไม่สร้างบาปไม่สร้างมลพิษตั้งแต่อดีตต่างหาก ถูกไหม แต่ตอนนี้ในเชิงสังคมเรามองว่า เมื่อธุรกิจปรับตัว เรารู้สึกว่าเขาทำดี แต่สิ่งที่เขาทำมามันมีมลพิษเยอะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องมองในเชิงให้สะท้อนถึงการเรียกร้องในเชิงของความเป็นธรรมที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของ finance ไม่ใช่แค่เรื่องของของการลดการปล่อยอย่างเดียว
Just Transition ที่ว่า อาจใช้ตัวอย่างของโครงการรถไฟฟ้า รถที่ใช้ไฟฟ้า ยังไม่มีการพูดถึงแรงงานที่อยู่ ขสมก. รถไฟฟ้าเข้ามาเป็น 1000 คัน แรงงานเพิ่มเป็นแรงงานสีเขียว สิ่งแวดล้อมที่กรุงเทพฝุ่นลดลงเพราะว่าใช้ไฟฟ้า แล้วคนที่ขับ ขสมก. เก่าๆ คุณเอาเขาไปทิ้งไว้ที่ไหน สรุปเราจะ left เขา behind ถูกไหม คือในเชิงของนโยบายในการตอบรับ สิ่งที่ต้องดูคือ ในเรื่องของความเป็นธรรมในด้านสังคม ในเชิงของการเข้าถึงงาน เชิงของที่ท่านรองฯ ก็พูดเรื่องงาน อย่าลืมว่ามันไม่ใช่แค่แรงงานใหม่ที่เกิดขึ้น มันต้องมาหักลบกับแรงงานเก่า ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่ใช้ดีเซลอยู่ด้วย อันนี้ต้องดูด้วย
ความเป็นธรรมมันหายไป แต่หลอกล่อด้วยของหวาน ถ้าดูในข่าว จะมีคำว่า ground braking, historic, มันช่างดูใหญ่โตมาก ในประเทศที่ใช้ fossils ฉะนั้นสมัยที่ยังเป็นกลาสโกลว์ ยังพูดถึง phase down ตอนนี้เป็น transitioning away from fossil fuels แล้วก็ endorse ทุกเทคโนโลยีที่ไม่สนใจวิธีการว่าจะทำให้เป็น fossils ยังไง แล้วจะไม่จ่ายเงินอีก
เมื่อครู่พูดเรื่อง 17 million ของ US ที่ใส่เข้าใน Loss and Damage Fund รู้ไหมว่า USA ใช้เงินภาษีของประชาชน US ไปลงทุนใน fossils เท่าไหร่? 20 billion! ไม่อยากพูดเรื่องนี้เดี๋ยวมีประเด็นการเมือง แต่เนื่องจากภาคประชาสังคมมีกิจกรรมที่ทำคือ in solidarity with พี่น้องในปาเรสไตน์ ภาคประชาสังคมที่มองและติดตามเรื่อง climate เรามองว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเรื่องเหล่านี้มันมาจากรากฐานการ colonization เพราะฉะนั้น มันจึงไปสู่การพูดคุยต่อ ทั้ง COP เงินลงทุนที่ทำเรื่อง military และให้การสนับสนุน military มีมากเป็น 20 เท่า มากกว่า 20 เท่า กับเงินที่จะให้ใน climate คำถามคือ มันเพราะอะไรด้วย
ทำไมเงินลงทุนเหล่านั้นได้ พอบอก climate มันกลายเป็นเรื่องของทุกคน ความแตกต่างของ (ความรับผิดชอบ) ระดับประเทศมันหายไปเลย ใน COP นี้อย่างมาก ทำยังกับว่าทุกคนต้องทำนะ โลกมีใบเดียว 1.5 องศาฯ สามารถทำได้ด้วยความร่วมมือแบบนี้ คุณจะมาแปลความร่วมมือด้วยการที่ไม่ให้เงิน เป็นไปไม่ได้ เพราะบาปมันเกิดขึ้นแล้ว
จุดยืนของรัฐบาลไทยที่ไป COP28 (ขอตอบว่า) ไม่เป็นที่พอใจ แต่ว่ารอบนี้ท่าน (รมต. ทส.) ก็มีความก้าวหน้า แต่ตัวเองไม่ชอบ ความก้าวหน้าคือ ท่านพูดดีหลายเรื่อง หมายถึงว่าท่านพูดเรื่องมีเทน ประเทศไทยชูเด่นมาก มีคำว่า Smart Farming, Thai, และ cultivation ท่านพูดว่าต่อไปเราก็จะได้ดูแลเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคของการเกษตร ซึ่งนั่นแปลว่าภาคมีเทนซึ่งผลที่มันเกิดขึ้นใน COP นี้เหมือนกัน ก็คือ คุณมี big elephant in the room ซึ่งก็ฟอสซิล แต่คุณไม่ให้เขา phase out แต่คุณมาดูในภาคที่พี่น้องในพื้นที่เกษตรกรที่ทำงานในพื้นที่ที่เป็นเกษตรกร คุณมาพูดถึงยุง ซึ่งยุงมีนิดเดียว คุณจะเอาเรื่องของยุงไปเกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซฯ 1 ใน 7
Adaptation ที่ท่านรองฯ นำเสนอคือภาคเกษตรด้วย เราควรต้องคุยในส่วนของภาคเกษตรที่เป็นเรื่องของการปรับตัว ไม่ใช่เรื่องภาคเกษตรที่ป็นเรื่องการลดการปล่อยก๊าซฯ โครงการที่เป็นเรื่อง Thai rice พยายามหาว่าการปรับตัวของพี่น้องเกษตรกรภายใต้โครงการที่จะลดมีเทนคือตรงไหน กลับเป็นเหมือนสิ่งที่พี่น้องเกษตรกรที่เราทำงานด้ว เหมือน 30 ปีที่พวกเราทำมาคือ นโยบายเพื่อเร่งรัดการส่งออก ใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เอาเงินให้พี่น้องเกษตรกรไปกู้ อาจจะคนละครึ่ง ซื้อเทคโนโลยี เพื่อลดต้นทุน เพื่อลดการปล่อยมีเทน พี่น้องเกษตรกรจะได้มีสตางค์เพื่อจะได้เอาไปใช้ประโยชน์และมีรายได้เพิ่มมากขึ้น คำถามคือ รูปแบบเดิมแล้วปรับตัวตรงไหน ได้เงินขึ้นแปลว่าปรับตัวหรือไม่ เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นว่าเรากำลังซ้ำรอยเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นที่เป็นนโยบายส่งออก หนี้สินที่มันเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น gap ในเรื่องความเหลื่อมล้ำมันก็จะยิ่งมีสูงขึ้น ถ้าเราใช้นโยบายตลาดแบบนั้น
โครงการวันนี้ของประเทศไทยที่ทำเรื่องนาข้าวลดโลกร้อน พอได้เงินมา เขาก็มีการนำกลุ่มธุรกิจที่ทำเรื่องเกษตรมา เพราะว่ากลุ่มธุรกิจเหล่านั้นตั้งใจอยากทำ net zero เมื่ออยากทำ net zero ก็เลยมาบอกประเทศผู้ผลิตว่า อย่าผลิตข้าวสินค้าเกษตรที่มันปล่อยมีเทนเลย เพราะฉะนั้น เราก็จะผลิตแบบเดิมเพื่อส่งออก ตลาดมี และตลาดเป็นคนกำหนดว่าอยากจะซื้ออะไร เพราะฉะนั้นเมื่อเรามองถึง 30 ปีแล้ว ที่หนี้สินมันยังมีอยู่ รูปแบบนี้จะซ้ำรอยเดิมไหมคือ เอาตลาดเป็นตัวตั้ง แล้วก็เอาเทคโนโลยีมา แล้วเทคโนโลยีเหล่านั้นก็เป็นเทคโนโลยีที่หลายพื้นที่ที่เราไปคุยกับพี่น้องเกษตรกร มองว่าเทคโนโลยี หล่านั้นมันจะทำลายความหลากหลาย และความ variety
มันคนละความหมายของความมั่นคงทางอาหาร คุณจะผลิตเท่าไหร่ก็ได้เพื่อให้ทุกคนมีอาหารกิน ทำอาหารในห้อง lab ก็ได้เพื่อความมั่นคงในอาหาร (ในความหมายนี้) แต่พี่น้องเกษตรกรมันไม่ใช่แค่เพียง security แต่มันคือ sovereignty การที่เขาอยากจะผลิตอะไร ทำไมต้องให้บริษัทเหล่านั้นมาบอกว่าเขาจะต้องผลิตข้าวพันธุ์นี้ ต้องผลิตข้าวไวแสง ต้องผลิตข้าวอายุสั้น เพราะฉะนั้น เขาต้องผลิตตามการปรับตัว เขาควรที่จะผลิตสิ่งที่เขาจะกิน ถ้าน้ำท่วมไม่มีข้าว ทำยังไงให้เขามีข้าวกินในช่วงน้ำท่วม แต่ถ้าเขามีตังค์เนื่องจากขายข้าวได้และต้องหลังใช้หนี้ด้วย เขาจะไปซื้อข้าวที่ไหนในเมื่อน้ำมันท่วม นั่นต่างหากคือการปรับตัวที่แท้จริงที่เรามอง ซึ่งเรามองไม่เห็นจากโครงการหลายๆ โครงการ โดยเฉพาะโครงการที่ทำเรื่องนาข้าวด้วย
ย้อนกลับมาที่ทางรัฐมนตรีที่ท่านพูดเรื่องนี้ ต่อไปเราอาจจะเป็นเจ้าแรกที่นำไปสู่เรื่องของการลดมีเทนในนาข้าวให้เป็นตัวอย่างของประเทศอื่นๆ ด้วย เรากำลังคิดว่าเรากำลังขายพื้นที่และเราไม่สามารถที่จะดูแลคนที่เป็นพี่น้องเกษตรกรในประเทศเราได้ขนาดนั้นเลยหรือเปล่า เราก็ต้องหันกลับมาดูไหมว่า รูปแบบที่เป็นการค้าขาย และให้ตลาดกลุ่มทุนกำหนด มันควรจะเปลี่ยนได้แล้ว ที่ได้ยินท่านพูด ก็เลยว่า มาแล้วเรื่องปลูกข้าว ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราอยากจะขาย ชาวนาพี่น้องเกษตรกรลดมีเทนได้เยอะ เอาไปเข้าสู่ระบบตลาดดีไหม พี่น้องเกษตรกรจะได้เงิน มีตังค์อีกแล้ว แต่หนี้สินเราไม่ได้พูด
เพราะฉะนั้น ในเชิงของนโยบายเลยไม่แน่ใจว่า นโยบายจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่อันนี้ทำเสร็จ ก็อาจจะมีนโยบายในเรื่องว่า ต่อไปนี้เราปลูกข้าวต้องลดมีเทนไหม อันนี้มีความเสี่ยงและน่ากลัวมาก และถ้าเอามีเทน หลายๆ บริษัทจะทำ net zero ตอนนี้ที่มีประเด็นคือ ใช้ในพื้นที่ป่าชายเลน แล้วก็ป่าบก ต่อไปจะเรื่องของข้าวไหม มันก็จะยิ่งมีประเด็นอีก เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องที่มีความสุ่มเสี่ยง แล้วก็เป็นเรื่อง distraction ออกไปเยอะ แทนที่จริงๆ สมการง่ายเลยใช่ไหม ลด ละ เลิก ก็จบ (fossil fuels) อะไรที่เคยใช้ก็หยุดมันไปเลย ไม่ต้องรอให้ยุคที่เมื่อไหร่มันหมดแล้วเปลี่ยน ถูกไหม
สุดท้ายแล้ว ในเรื่อง transition เราต้องมีมิติอื่นของ transition อยากเสนอว่าให้ดูเรื่องของโครงการรถไฟฟ้า รถที่ใช้ไฟฟ้าของสวิสที่กำลังซื้อขายกัน เนื่องจากมีหลายประเด็นในเชิง transition มีการพูดเรื่องงานสีเขียวที่เกิดขึ้นลดฝุ่นลดมลพิษ เรื่องสิ่งแวดล้อมดีหมดเลยเนื่องจากใช้รถไฟฟ้า แต่เรื่องประเด็นทางสังคมมันไม่ถูกผนวกอยู่ในนั้น อย่างกรณีของไทย ข้าวที่ลดการปล่อยมีเทนด้วย ความมั่นคงทางอาหารและความหลากหลายที่อยู่ในไร่นา มันจะถูกหายไปเลยจากการทำเทคโนโลยีบางตัวของเขา เพราะฉะนั้น พี่น้องที่ไปนาข้าวไปเก็บแมลง เก็บมดแดง กินได้มันจะหายไป อาจจะต้องดูนิด
สิ่งที่คุยกันที่ COP28 เหมือนว่าโลกทั้งโลกใช้ Fossil อยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดถึง transition เอาพลังงานหมุนเวียนมาเปลี่ยน fossils ให้หมด ใช้ fossils 100 เราต้องหาพลังงานหมุนเวียนมาร้อย คำถามที่คุยกันในภาคประชาสังคมเราเรียกว่า transitional minerals แปลว่าโลกนี้ถ้าจะใช้พลังงานหมุนเวียน คุณต้องใช้แบตเตอรี่เยอะ แล้วคุณเอาแบตเตอรี่เหล่านั้น เอาแร่ธาตุที่จะมาผลิตและเติมแบตตารี่ หรือแร่ต่างๆ ที่จะเอาสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนมาจากไหน มันต้องขุดเจาะอีกแล้ว คุณต้องทำเหมืองอีก กลายเป็นว่าพอคุณย้ายจาก fossils ไปเป็นพลังงานหมุนเวียนแบบที่เราจะเดินหน้า เราไม่ได้ดูว่า ตกลงว่าเราจะไม่ได้ทำแบบเดิมอีก ที่เรามีการจะขุดเจาะ แคดเมียม นิเกิล เพื่อเอาไปป้อนโรงงานแบตตารี่ คุณว่ามันเป็นในเชิงที่คุณมองความเป็นธรรมในการเปลี่ยนผ่านไหม
เพระาฉะนั้น เราต้องมองความเป็นธรรมในการเปลี่ยนผ่าน คุณต้องมีการลดละเลิกการบริโภคจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วด้วยไหม ไม่งั้นกลายเป็นว่าทุกอย่างที่เราผลิตและส่งออกเราให้เขา มันแค่เราเปลี่ยนจากพลังงานเชื้อเพลิง fossils ไปเป็นพลังงานอื่น แต่รูปแบบโครงสร้างทางพลังงานยังเป็นรูปแบบเดิม มันมีพี่น้องที่เราคุยด้วยที่แถลงข่าวด้วยกันในวันสุดท้าย เขาพูดถึง transitional minerals ประเทศเขากำลังได้รับผลกระทบจาก การขุดเจาะ ที่จะเอาไปทำแบตเตอรี่ด้วย

ข้อเสนอเชิงนโยบาย
รองอธิบดีปวิช: อย่างที่ทุกท่านทราบ ทางกรมก็ต้องขับเคลื่อนตัว พ.ร.บ. climate change ให้มันเป็นรูปธรรมภายในปีหน้า เพราะว่าในหลายเรื่องถ้าไม่มีความชัดเจน การดำเนินการไม่ว่าภาครัฐเอง หรือภาคประชาชนที่จะได้รับผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทุกทุกวันจะกระทบ ใน พ.ร.บ.เองคงพูดถึงเรื่องการรายงาน การที่จะต้องดูแลผู้ได้รับผลกระทบ แล้วก็เรื่อง Climate Finance ไม่ว่าจะเรื่อง ETS เรื่อง carbon pricing, tax, carbon market หรือวิธีการอะไรต่างๆ เราต้องพูดคุยกันว่าบริบทไหนเหมาะสมที่สุดกับไทย ไม่ใช่เราจะไป copy ต่างประเทศมาทั้งหมด เราก็มีคณาจารย์ต่างๆ ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทางรัฐบาลก็ต้องดำเนินการ ไม่ว่าทั่วโลกจะคิดยังไง แต่ไทยต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัว หรือ NDC ว่าเราจะลดก๊าซให้เพิ่มขึ้นไหม ภาคลดก๊าซมันมีไม่กี่ sector ภาคพลังงาน ภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร อย่างที่ได้พูดถึงเรื่องมีเทน ตัว Rice NAMA ถ้ามีอุปสรรคก็มาพูดคุยกันแต่สิ่งที่ทางท่านรองนายกฯ หรือท่านรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยฯ ได้ไป deliver ท่านได้เน้นย้ำว่าประเทศไทยต้องเดินไปทิศทางนั้น ไม่ว่าผล COP28 ออกมาแบบใด ไม่ว่าใครทำอะไรก็ช่าง แต่ประเทศไทยต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่ว่ามีคนพูดเรื่องมีเทนเราก็จะถามว่ามันทำได้หรือเปล่า ต้องมองให้เป็นองค์รวมทั้งประเทศ ไม่ใช่ no one left behind แต่ให้มีความเท่าเทียมในการเปลี่ยนผ่าน
สิ่งที่สำคัญ เรื่องเงินทุนต่างๆ จะต้อง capture จากเงินทุนในโลกนี้ การคาดการ และระบบติดตาม สิ่งที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องทำคือ รัฐ ประชาชน และก็เอกชนเดินไปพร้อมๆกัน ไม่มีการจะทิ้งใครไว้ข้างหลัง คือทุกวันนี้มันก็คงล้าสมัย เรื่อง colonialism มันเกิดมาแต่อดีตแล้ว ปัจจุบันเป็นอย่างไรเราจะต้องทำให้ดีที่สุด อยากให้เชื่อมั่นว่ากรมตั้งมาใหม่ใน 3-4 เดือน ก็คงต้องขับเคลื่อนอย่างแข็งขัน ได้มารับฟังข้อคิดเห็นข้อมูลต่างๆ เป็นประโยชน์ในการที่จะไปปรับใช้กับการดำเนินการของภาครัฐ
รศ.ดร.วิษณุ: จริงๆ ถ้าเราพูดถึงกรอบการประชุมรอบนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน ก็คลาดเป้าไม่ได้เยอะมาก เป้าหลักส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่ประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งประเทศไทยโอกาสได้ยากมาก คือถ้าดูจากสถานะ เราอยู่ในกลุ่มประเทศทางฐานะปานกลางค่อนข้างดีว่า ในมุมมองแล้ว โอกาสได้เงินทุนยาก แต่ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้ ถ้าเราทำการบ้านดีๆ หามาตรการที่มันตอบโจทย์หลายๆ ปฏิณญาฯ ที่พูดถึงใน COP28 หรือเป้าหมายของปารีส คิดว่าส่วนนี้มันมีโอกาสอยู่เช่นกัน แต่อยากให้คิดว่า ตรงส่วนนั้นเราไม่ต้องหวังเยอะ แต่อยากให้คิดถึงประเด็นที่คุณธันยพรพูด เรามีอะไรที่เราทำอยู่แล้ว เราแค่ปรับบางสิ่งบางอย่าง จากเงินที่เรามีอยู่เพื่อนำไปสู่เป้าหมายนั้นได้หรือเปล่า คือไม่ต้องคาดหวังเงินข้างนอก
เราทำตรงนี้อยากจะให้คิดว่าเราทำเพื่อเป็นการลงทุน ไม่ใช่ทำเพราะเกิดต้นทุน คือทำเพื่อผลตอบแทนในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น เราพูดถึงภาคเกษตร อนาคตสินค้าเกษตร อาหารขายไม่ได้ สุดท้ายธุรกิจก็เดือดร้อน เกษตรกรย่ำแย่ เปลี่ยน mindset จากต้นทุนให้เป็นการลงทุน อันนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก
ประเด็นที่เราต้องทำ ทางกรมทุกกรม คนที่เกี่ยวข้อง ต้องมานั่งดูว่าจะเตรียมข้อเสนอโครงการอย่างไรที่จะไปขอเงิน ไม่ว่าจะเป็นจาก Loss and Damage Fund หรือ Climate Finance ไม่ใช่ของ่ายๆ มันต้องเตรียมการดีๆ ตรงนี้เป็นประเด็นที่เราต้องทำการบ้านเยอะพอสมควร ถ้าเราอยากจะได้แหล่งเงินจากข้างนอก
พันธมิตรร่วมลงทุน เราต้องคิดเช่นกัน รัฐบาลมีเงินจำกัด ไม่มีทางที่งบประมาณแผ่นดินประเทศไทยจะตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง เราต้องหาพันธมิตรระหว่างประเทศ ระหว่างรัฐบาล หรือภาคเอกชนถ้าเขาสำคัญมาก Public Private Partnership หรือ NGO ต่างๆ ตรงส่วนนี้ทำได้ เราจะมีบทบาทอาเซียนอย่างไรในการขับเคลื่อนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือปรับตัวตรงส่วนนั้น ซึ่งคิดว่าภาคเกษตรเองในอาเซียนก็มีบทบาทที่มากพอสมควร
ในภาคเกษตรหรือระบบอาหารเอง เราทำอะไรได้บ้างที่มันน่าจะตอบโจทย์วินวินในหลายๆ ฝ่าย อันแรกคือ การลงทุนในแหล่งน้ำ อันนี้ประเทศไทยเป็นปัญหามากเลย ครัวเรือนเกษตรไทยเข้าถึงระบบชลประทานแค่ 20% อีก 74% เข้าไม่ถึง อยู่ในพื้นที่นาน้ำฝน climate change มาผันผวนรายได้เลย ที่ผ่านมาเราก็มีงบประมาณผ่าน ธกส. ที่มีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อลงทุนในแหล่งน้ำ แต่เราให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาเป็น 10 ปีแล้ว พื้นที่ที่เกษตรกรจะมีบ่อน้ำยังไม่มี นั่นคือมาตรการพวกนี้ยังไม่จูงใจให้เกษตรกรอยากจะลงทุน เราต้องคิดใหม่ทำใหม่ต้องปรับ ทำยังไงที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรให้ได้ เช่น เมื่อก่อนเราให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำธรรมดา ตอนนี้เราอาจจะ top up เงินไหม ถ้าสมมติว่าช่วยลงทุนด้วย ช่วยเงินด้วยในบางส่วน อาจจะจูงใจมากขึ้น เรามีเงินอยู่แล้วแต่เราต้องคิดอะไรใหม่ๆ ในการให้เงิน
อีกประเด็นที่สำคัญมากเลย เกษตรกรเราให้ทุกปี ปีละเป็นแสนล้าน เยียวยาให้เปล่า ประกันรายได้ ประกันราคาเยียวยาภัยพิบัติ มีทุกปี แล้วก็ให้ทุกปีเหมือนเดิม ผลที่ตามมาคือ การปรับตัวของเกษตรกรไม่เกิดขึ้น ถ้าเราปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข ตรงส่วนนี้จะช่วยตอบโจทย์ให้ได้มากเลย
ในปฏิณญาฯ ที่มีการพูดถึงคือเรื่องของ technology หรือนวัตกรรมเกษตรเท่าทันภูมิอากาศต่างๆ เมื่อสักครู่ที่เราพูดกันคือการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง นั่นเป็นนวัตกรรมเกษตรเท่าทันภูมิอากาศอันหนึ่ง จริงๆ เราได้เงินกองทุนมา ไทยสามารถทำได้ แต่เชื่อไหมว่าทำต่ำกว่าเป้าไว้ในเรื่องพื้นที่ปลูกเพราะว่าเรายังมีการให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าอยู่ อย่างการปลูกข้าวนาน้ำท่วมธรรมดา กับปลูกข้าวแบบสลับแห้ง ได้เงินช่วยเหลือเท่ากัน เหมือนเรื่องเผา เผาไม่เผได้เงินเหมือนกัน มันไม่ได้จูงใจให้เกษตรกรอยากจะปรับตัว คือเสนอว่าเราต้องเปลี่ยนส่วนนี้ถ้าเรายังใช้เงินส่วนนี้อยู่ แล้วเราไปขอเงินข้างนอก เขาไม่มีทางให้ เพราะว่าคุณมีเงินอยู่แต่คุณไม่ยอมปรับ เพราะฉะนั้น เราต้องแสดงให้เห็นว่าเรากำลังปรับ เราถึงจะไปขอเงินช่วยเหลือเขา
จริงๆ แล้ว นวัตกรรมเกษตรเท่าทันภูมิอากาศทำได้หลายอย่างมาก การให้ปุ๋ยตามการวิเคราะห์ค่าดิน การใช้ดิจิตอลเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้มันทันสมัยมาก เอาง่ายๆ พยากรณ์อากาศ การวิเคราะห์ดินปุ๋ย มี censor อัตโนมัติ หรือการทำมาตรฐานการผลิตแบบยั่งยืน เราจะเล่นแบบ GAP ก่อน หรือเราจะไป go inter มีหลากหลาย หรือแม้แต่กระทั่งปลูกพืช เอาอย่าง basic ที่สุด คือปลูกอย่างไรให้มันเหมาะกับดินและน้ำ เชื่อไหมพืชเศรษฐกิจ 13 ชนิด รวมกัน เราปลูกพืชที่ไม่เหมาะสมกับดินและน้ำปาไป 39% คำถามคือ ทำไม? ก็กลับมาเรื่องเดิม ปลูกข้าวตายได้ผลผลิตน้อยมาก มีประกันรายได้ มีประกันราคา เพราะฉะนั้น มันไม่มีเงื่อนไขใดๆ ให้เราปรับตัว เพราะถ้าเกิดปลูกพืชในที่ไม่เหมาะสมกับดินและน้ำ เวลาอากาศเปลี่ยน climate change เข้ามามันเจ็บตัวแน่นอน เอาง่ายๆ แบบนี้เราจะปรับอย่างไรให้พื้นที่มันเหมาะสมก่อน ถ้าชัยภูมิเราได้ การเปลี่ยนแปลงเพื่อความเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศมันก็จะเป็นปัญหาน้อยลง
หรือถ้าย้อนกลับมา อันหนึ่งที่สำคัญมากเลย คืองานพวกนี้มันทำคนเดียวไม่ได้ กระทรวงเกษตรทำกระทรวงเดียวไม่ได้ จะต้องหาทางประสานกับทางสถาบันในพื้นที่ด้วย ทุกวันนี้ข้าราชการก็ถูกลดตำแหน่งลงเรื่อยๆ ทำอย่างไรถึงจะขยายผลตรงส่วนนี้ ตรงส่วนนี้ถ้าขยายความร่วมมือได้ ให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาในพื้นที่ช่วยให้ความรู้อบรมเกษตรกร ตรงส่วนนี้จะช่วยได้มากเลย ไม่ใช่ช่วยอย่างเดียวต้องมาพร้อมงบประมาณด้วย
แล้วก็มีเรื่องของการเพาะปลูก หลายคนปลูกเชิงเดี่ยว ปลูกแต่ข้าวอย่างเดียว งานวิจัยค้นพบว่า ถ้าปลูกข้าวร่วมกับพืชอื่น ร้อยละ 92 เกษตรกรจะมีรายได้มากขึ้น แต่ทุกวันนี้ทำไมเกษตรกรปลูกข้าวอย่างเดียว ก็กลับมาเรื่องเดิมเลยคือการให้เงินช่วยเหลือแบบเยียวยาให้เปล่า ถ้าปรับเรื่องนี้ได้ เกษตรกรจะปลูกพืชร่วมกับอย่างอื่น นั่นคือการทำเกษตรผสมผสานหรือหมุนเวียน ตรงนี้เป็นการยกระดับรายได้เกษตรกร เพราะการให้ความช่วยเหลือแบบเยียวยาให้เปล่ามันชุดรั้งไม่ให้เกษตรกรมีฐานะดีขึ้น
อีกอันที่พูดถึงคือเรื่องการรวมแปลง เกษตรกรเรามีพื้นที่เล็กถ้าเรารวมให้เป็นขนาดใหญ่ได้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี และที่สำคัญคือเราต้องส่งเสริมตลาดเช่าบริการ เครื่องจักรกลการเกษตร และดิจิตอลสมัยใหม่ เกษตรกรไทยไม่มีวันซื้อรถตัดอ้อยคันหนึ่ง 12 ล้านกับพื้นที่ใหญ่ไม่กี่ไร่ ทำอย่างไรที่จะมีระบบพวกนี้ เช่น ส่งเสริมบริษัทให้บริการ เครื่องจักรเครื่องเดียวช่วยให้คนสามารถใช้ได้ พวกนี้เราสามารถทำได้ อันนี้เป็นภาพให้เห็นงานวิจัยที่มีโอกาสทำมา เราพบว่าเกษตรกรไทยใช้ digital technology น้อยมาก โดยเฉพาะเกษตรแม่นยำ แค่ 6% เอง ตรงนี้เป็นช่องว่างการพัฒนาอีกเยอะเลยที่เราสามารถทำได้
หรือแม้แต่เรื่องของระบบประกันภัยพืชผล ปัจจุบันนี้เราก็มีปัญหา คือรัฐบาลอุดหนุนประกันทั้งหมด เกษตรกรไม่ต้องจ่าย มันไม่ได้เป็นระบบประกันอย่างแท้จริง เพราะถ้าเป็นระบบประกันจริงมันต้องใช้ตลาดนำ เรื่องของการจ่ายค่าพรีเมียม การทำประกันพวกนี้เกษตรกรต้องมีส่วนร่วมจ่าย หรือแม้กระทั่งการประเมินผลกระทบ ไม่มีเลยในพืชแต่ละชนิด ตลอดห่วงโซ่เรามีเฉพาะต้นน้ำ แต่เราไม่มีกลางน้ำปลายน้ำ ถึงระบบอาหารทั้งหมด
งานวิจัยและพัฒนาที่พูดถึงนวัตกรรมเกษตรเท่าทันภูมิอากาศ ก่อนหน้านี้เราพูดถึงการปลุกข้าวเปียกสลับแห้ง ปลูกในภาคเหนือ อีสาน กลาง ไม่เหมือนกัน องค์ความรู้ระดับน้ำที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไหร่ เราพูดแต่กว้างๆ แต่เราไม่มีงานวิจัยไม่มีองค์ความรู้ หรือเทคนิคอื่นๆ การทำเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชอะไรดีในพื้นที่ เราก็ไม่มี พูดง่ายๆ ว่าเรามีแค่องค์ความรู้กว้างๆ แต่เรายังขาดงานวิจัยอีกเยอะมากที่จำเป็น เพราะงานพวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องไปปรับตามบริบทของพื้นที่ ไม่มีสิ่งที่เราเรียกว่า one fits all
แล้วท้ายที่สุดสำคัญมากเลยว่าเราจะทำอย่างไรที่จะดึงดูดหนุ่มสาวเข้ามาทำเกษตรให้มากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมสูงวัยในปัจจุบัน ซึ่งมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โลกเปลี่ยนแปลงทั้ง technology climate change ก็เปลี่ยน แต่เกษตรกรไทยสูงวัย การศึกษาก็น้อย พื้นที่ทำกินก็ไม่มาก ทำอย่างไรที่เอาคนรุ่นใหม่เข้ามาเสริมสภาพตรงส่วนนี้ให้คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ได้ทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์องค์ความรู้กัน ตรงส่วนนี้สำคัญมาก แต่เราให้ความสำคัญน้อยอยู่ ตรงนี้เพิ่มเรื่องหนุ่มสาวที่เป็นปฏิณญาฯ ที่เขาฝากไว้
ต่อไปสุดท้ายคือ คาร์บอนเครดิต อันนี้เป็นกลไกที่สมัครใจและดีมากของไต้หวัน เขารวมแปลงเกษตรกร ทำแปลงให้ รวมแปลงคาร์บอนเครดิตให้ รวมให้กระทรวงเกษตรและกระทรวงสิ่งแวดล้อม แต่ประเทศไทยตอนนี้ก็ตัวใครตัวมันอยู่ เราจะมีกลไกอย่างไรช่วยตรงส่วนนี้ เราไม่ต้องการแค่โชว์เคสต้นแบบ บ้านเรามีต้นแบบเยอะมากเลย แต่ว่าการขยายผลเรายังขาดอยู่ ทำอย่างไรที่เราจะขยายต้นแบบให้ไปทั่วประเทศให้ได้ นั่นก็เป็นโจทย์ที่สำคัญ
คุณวนัน: มันมี 7 เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการ Thai Rice ของ GCF เพราะฉะนั้น เข้าใจว่าคงอยากจะทำในเชิงของการวิจัยด้วย แต่ว่าเราพอมองเห็นความสุ่มเสี่ยงว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่ทำให้พี่น้องเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่มีส่วนร่วมจริงๆ ถ้าไม่มีการถอดบทเรียน เนื่องจากว่าเรามองเห็นว่าโครงการอันนี้มันเป็oการ repeat นโยบายการส่งออก มันจะมีความมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะไม่นำไปเป็นหนี้สินอย่างต่อเนื่องจนบัดนี้ อันนั้นคือ export oriented policy มีตั้งเยอะ มีนานมาแล้วถูกไหม ฉะนั้น หนี้สินมันมีอยู่ตอนนี้ ทำไมเราไม่มองเห็นรูปแบบอื่นๆ
แม้พูดถึง 10 เทคโนโลยีตัวนั้น มีตัวที่ 11-12 เผื่อไว้หน่อยได้ไหม เผื่อมีพี่น้องที่เขาทำแล้วเขามี innovation ของเขา ซึ่งเขาทำอยู่แต่ไม่มี resource เพราะฉะนั้น 11-12 เพิ่มได้ไหม อันนี้กรอบตรงนั้นท่านน่าจะทราบว่ามันให้แค่ 10 เทคโนโลยี ซึ่งมีข้อเสนอไปแล้ว 1 ในนั้นคือเปียกสลับแห้ง เราแค่มองว่าเรื่องเหล่านี้มันมีภาคอื่นที่ไม่ได้กระทบโดยตรง แต่ว่าจำเป็นต้องใช้ขีดความสามารถในการปรับตัว เช่น ภาคเกษตร ข้าว ให้ความสำคัญที่มีเทคโนโลยีในการปรับตัวให้เขามีชีวิตรอดในช่วงที่โลกร้อนมากกว่าไปมองในเรื่องลดการปล่อย
เราเจอพื้นที่หนึ่งที่ไปทำการศึกษา Loss and Damage มันน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้ น่าจะลงไปดู เข้าใจว่ากระทรวงทรัพยฯ สมัยก่อน ทางหน่วยงานภาครัฐ ทางกระทรวงทรัพย์เคยทำงานร่วมกันกับพื้นที่ตรงนี้อยู่ ตอนนี้อยู่ที่คลองขาม สมุทธสาคร พื้นที่ชายฝั่งควรไปดู ไไปดูแล้วเรามองเห็นว่า Loss and Damage คืออะไร ที่เป็นตัวจริง นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่อง rapid onset แต่ slow onset ด้วย มันไม่ได้เกิดขึ้นแบบน้ำท่วมทันที พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ป่าโกงกาง น้ำมันกัดเซาะเข้ามาแล้วพื้นที่มันหายไป แล้วก็พอพื้นที่หายไปพี่น้องใช้พื้นที่ภูมิปัญญาทำไม้ไผ่เพื่อชะลอคลื่น สิ่งที่เกิดขึ้นคือถ้าเราไปสร้าง sea wall คอนกรีต hard infrastructure เวลาที่คลื่นมาเยอะๆ มันไม่ได้ชะลอ มันยิ่งทำให้คอนกรีตพังเร็ว แต่เวลาวางไม้ไผ่มันมีช่องใช่ไหม น้ำที่มามันจะเบาลง เมื่อ 5-6 ปี ที่ผ่านมาน้ำที่ผ่านไม้ไผ่ไม่มีคลื่นเลย ฉะนั้น อุณหภูมิของน้ำมันสูงขึ้น การพัดพาของน้ำที่มาแรง ทำให้เกิดการพัดเอาพืชท้องถิ่นของป่าโกงกางมา มันจึงรีเคลมสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่ไม้ไผ่ล็อตใหม่จะเห็น loss and damage การวางไม้ไผ่ปัจจุบันพังเพราะคลื่นแรงขึ้น อุณหภูมิมันไม่ลด อุณหภูมิสูงขึ้น ต่อไปนี้ภูมิปัญญาเหล่านี้มันอาจมี limit พี่น้องมีการ adaptation แล้ว แต่ลิมิตมันมี มันต้องเอาอะไรไปเสริม โครงการแบบนี้นี่คือ GCF และ transforming ด้วย แล้วเมื่อไม้ไผ่พัง แต่ก่อนคุณเห็นไหมว่าเมื่อก่อนน้ำผ่านไม้ไผ่มามันไม่มีระลอก ต่อไปสิ่งที่เขาสร้างไว้อาจหายไป
อันหนึ่งที่เราเห็นเป็นชุดประสบการณ์ได้คือ ประไทยได้ทำ priority ชุดการรับเงินของ Green Climate Fund ส่วนตัวเชื่อว่าสำหรับกองทุนของ Loss and Damage Fund สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ต่างจาก governance instruments ที่เกิดขึ้นจาก Green Climate Fund แต่ละประเทศ คงถูกให้เขียน definition ของ loss and damage คืออะไร ดีไม่ดี มันจะไม่พอแล้ว beyond adaptation คือการ loss and damage อันนั้นภาคประชาสังคมหรือกลุ่มที่อยู่ต่างๆ ต้องมีส่วนร่วม ที่เราทำ country priority ของ GCF ภาคประชาสังคมไม่มีส่วนร่วมเลย เห็นแต่การดึงแผนของหลายกระทรวงเข้าไปอยู่ใน country priority ควรเอาภาคประชาสังคมและกลุ่มต่างๆ มามีส่วนร่วม
คุณธันยพร: มีกฎหมายและการปฏิบัติด้วย ต้องขอบคุณที่มองเรื่อง food system transformation พูดเรื่องปากท้องของมนุษย์ และอาชีพการงาน สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจ ทีนี้สังคมจะนำเศรษฐกิจได้อย่างไร เรื่องการเปลี่ยนผ่านถ้าเราสามารถมีกติการ่วมกัน เรื่องของการปลูกพืชอย่างเหมาะสม ข้าว ไม่จำเป็นต้องปลูกเฉพาะตามโครงการ เรามีข้าว GI ทำไมอยู่ๆ เขาต้องมาปลูกในพื้นที่แห้งแล้งขนาดนี้ แต่ได้ GI ของประเทศ มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทุกวันนี้เรามองผิดจุด จริงๆ เรามีภูมิปัญญา แต่ภูมิปัญญาบางอย่างมันมีลิมิต เราต้องส่งเสริมภูมิปัญญาใหม่ เครื่องมือเศรษฐศาสตร์มาช่วยกับภูมิปัญญามันจะยั่งยืนขึ้น เมื่อกี้เราพูดถึงข้าว ประเทศไทยเราบอกว่าเราจะลดมีเทน จริงๆ แล้วโปรเจคการลดมีเทนในนาข้าวมีมานาน เราแค่ขาดเอามาผสมผสาน ถ้าทำที่เหนือทำแบบนี้ ถ้าทำบุรีรัมย์ อีสานเหนือ อีสานใต้ทำที่ไหน ซึ่งตอนนี้เราโฟกัสผิดจุด เราบอกว่าเราต้องทำออแกนิคและต้องทำนาแห้งอย่างเดียว เราควรเอางานวิจัยมากาง อย่างภาคธุรกิจเราพร้อมที่จะไปคุยกันกับหอการค้าหรือว่ากลุ่มผู้ค้าข้าว เรากลับมาที่ภูมิปัญญาสังคม เรามีข้าว GI แทบจะ 10 จังหวัดมั้งภาคอีสาน เราเอาเขากลับมาและดีมาก
เราคุยกับกระทรวงเกษตรเรื่อง zoning การทำพืช สักครู่ที่บอกว่าเหมาะสม ส่วนใหญ่เป็นพืชอายุยืน มังคุด เงาะ ทุเรียน รู้ไหมว่าเวียดนามเขาก็เลียนแบบเอาทุเรียนนำเศรษฐกิจแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจข้าวแข่งกับเรื่องราคาตกต่ำ เวียดนามไม่อยากอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุด คือต้องขายข้าวราคาคู่แข่งกับประเทศไทย เขาไปราคาอะไรที่แพงที่สุด ตอนนี้จึงเป็นโอกาสที่ต้องใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ แต่ต้องทิ้งไว้ว่าเวทีหน้าเราควรมาคุยเรื่องเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทั้งนักธุรกิจ เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นความน่ากลัวที่สุดของนักธุรกิจ เขาไม่ได้แคร์เรื่องโลกร้อน แต่เขาแคร์ว่าจะไม่มีใครซื้อสินค้า
เพราะฉะนั้น ถ้าเราใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ สื่อสารให้ถูกต้องกับคนซื้อทั้งในและนอกประเทศ กลไกเหล่านี้มันจะทำให้ค่อยๆ เปลี่ยนผ่านได้ ที่เป็นธรรมคือคนที่ได้รับผลกระทบจะได้ผลจากภาษีเอามาบำรุงท้องที่ สนับสนุนทำโครงการ เอาเม็ดเงินเหล่านี้มาทำโครงการ รู้ว่าทำผิด รู้ว่าทำอย่างไรผิดน้อยลง เพราะเค้าไม่อยากเขาจ่ายภาษีแพง ส่วนคนทั่วไปที่อยากจะส่งเสริม เราก็ใช้วิธีการซื้อสินค้าที่ปล่อย pollution น้อย เครื่องมือตรงนี้มันช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ ก็เลยมองว่าน่าจะเป็น solutions ของภาคธุรกิจ
พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ออกมาเถอะ เพราะเรารู้ว่าออกมาอีก 3 ปี 2028 มั้งกว่าจะบังคับใช้ มาเถอะ การที่เราไม่รู้ว่ามันจะเพอร์เฟคไหมตั้งแต่ day one มันจะทำให้ขยับ ที่บอกว่าดี เพราะคนเขียวน้อยจะได้เขียวมากขึ้นหรือคนที่ไม่เขียว เราพูดถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ผลิตที่ดี เขาจะได้เข้ามาเขียว ขอให้หัวหน้าห้องเคาะออกมาก่อน แล้วค่อยเป็นกลไกตามไป
คุณธารา: ภาคพลังงานไม่ได้สนใจแผน PDP (Power Development Plan) หรอกว่ามันจะหน้าตายังไง เขาลงทุนไปแล้ว คำถามใหญ่คือ net zero roadmap ของไทยที่มันโยงกับแผน PDP หน้าตามันจะเป็นอย่างไร ซึ่งเราก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่มันจะออกมา ซึ่งรัฐมนตรีพลังงานก็กำลังปวดหัวกับเรื่องค่าไฟอยู่ตอนนี้ว่าค่าไฟจะขึ้นจะอะไรอย่างไร เข้าใจว่าเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลชุดนี้ เดือนมกราคมค่าไฟจะขึ้นเท่าไหร่ ก็เป็นคำถามใหญ่ว่าขึ้นจากอะไร อะไรต่างๆ เหล่านี้ เราก็จะไปโยงกับแผน PDP นั้นแหละ ซึ่งคิดว่าถ่านหินมันอาจจะเรียกว่า out ไปจากระบบพลังงานของประเทศไทยแล้ว
ที่คุณวนันพูดถึง carbon market ใน COP28 ที่บอกว่าเขาคุยไปกันไม่รอด เป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะว่ามันมีประเด็นหลายประเด็นมาก อย่างที่คุณวนันพูดเรื่องตลาดคาร์บอนที่สมัครใจของไทยที่เราต้องคุยกันอีกเยอะ ข้อตกลงปารีสมาตรา 6 มันมีหลายจุด 6.2, 6.4, 6.7, 6.8 ซึ่งพูดถึง non market approaches เราพยายามทำรายงานออกมาว่า มันน่าจะเป็นกลไกที่อาจจะเป็นความหวัง ถ้าเราพูดถึงว่าบางกลุ่มไม่เอาตลาดคาร์บอน มัน deliver น้อยมาก มันลงทุนลงแรงไปเยอะแต่ deliver ที่จะไปสู่ 1.5 องศาฯน้อยมาก มันมีทางเลือกอื่นไหม ความหวังอันหนึ่งคือ มาตรา 6.8 แต่มาตรา 6.8 ก็มีดีเทลเยอะ ซึ่งคนตั้งคำถามว่า จริงๆ มาตารา 6.8 มันพูดถึงระบบนิเวศน์เยอะ เรื่องของ landscape เรื่องของการฟื้นฟู เรื่องของชุมชน การพัฒนากับชุมชน ชุมชนเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญ เรื่องของผู้หญิง nature based solution เรื่องของการ cross over กับ CBD อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ
คำถามใหญ่ที่ อ.วิษณุ อาจจะช่วยเจาะลึก มันมีเรื่องเงิน เรามี mitigation, adaptation เรามี Green Climate Fund , Loss and Damage Fund ถามว่าเงินมาจากไหน จริงๆ แล้วถ้าเราจะเอาเงินมาจากกลไก non market approaches มันมีเต็มไปหมด แต่ว่าอาจดูในมิติซีกโลกเหนือ เช่น wind for tax มันอาจได้ถึงล้านล้านเหรียญ ประมาณเก้าแสนล้านดอลล่าหรือมากกว่านั้น wealth tax เก็บจากคนที่รวยที่สุดในโลก 5% ต่อมหาเศรษฐีของโลก Financial Transection Tax หรือพวกบินบ่อยๆ ก็อาจถูกเก็บจาก 0 ไปเป็น 9 ดอลล่า 15 ดอลล่า ปีหนึ่งก็เป็นร้อยพันล้านดอลล่า อีกอันหนึ่งคือเงิน IMF และเงินมหาเศรษฐีใจบุญ ถ้าเอาตัวเลขมารวมจะเยอะ แต่คำถามคือเราไปเก็บตรงนี้ได้ไหม
คุณวนัน: เงื่อนไขเหล่านี้ไม่มีการพูดถึง tax holidays คือ tax ที่ให้แรงจูงใจทางด้านการไม่จ่ายภาษี เราตั้งคำถามมานานแล้วว่า ถ้าบริษัทอยากจะใช้อุปกรณ์ green technology ทำไมไปยกเลิกภาษีให้ ยกเลิก 3 ปี ทำไมรัฐอยากจะเชือนตัวเองตรงนั้น เข้าใจไหม ประชาชนพี่น้องเดือดร้อนเรื่องโลกร้อน แต่คุณยกเลิกภาษีที่เก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยที่เขาไม่ได้จ่ายสามปี คุณขาดรายได้ แต่กลุ่มทุนไม่ว่าอย่างไรเขาคืนทุนได้อยู่แล้ว อาจจะเถียงว่าไม่มีแรงจูงใจ ต้องอัดฉีดหน่อย แต่เราต้องถ่วงหน่อยว่ากลุ่มธุรกิจ พี่น้องเกษตรกร หรือพี่น้องชาวประมง ได้รับผลกระทบจากโลกร้อน อาจมีการต้องเข้าถึงเงิน แต่เรากลับไม่เก็บภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจจะต้องมาดูเรื่อง tax holidays
ภาคประชาสังคมผลักเรื่อง global tax system ทั้งโลกควรมีการ reform financial system ว่าจะทำอย่างไร dept translation ยกเลิกหนี้ หนี้ที่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นหนี้กับ World Bank เป็นหนี้กับ ADB ประเทศกำลังพัฒนา ถามว่าเขาจะยอมไหม นอกจากนี้ เงินกู้ที่เอามาไม่ได้ตอบกับประโยชน์สาธารณะ ควรถูกยกเลิก ต้อง define กันอีก วง SDG ที่ New York คุยเรื่อง debt swap ที่จะต้องไปจ่ายหนี้ให้เอามาทำเรื่องโลกร้อน สิ่งแวดล้อม เงินไม่มีงอกใหม่เลย เราเรียกร้องเรื่องนี้ ภาครัฐและผู้แทนควรเรียกร้องร่วมกัน คู่ต่อสู้เราคือคนเดียวกันคือ Global North
คุณธารา: ประเด็นที่อยากปิดท้ายคือ มันมีกลไกนอกตลาดที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องก๊าซเรือนกระจก ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศ เงินจะมาจากไหน ก็จะมาจากข้อเสนอเหล่านี้ที่เราจะต้องทำงานกันต่อไป
ถอดความโดย เสียงอักษร The Recorder
Also read: POLICY BRIEF: The Challenges of COP28 and the Way Forward

Indie • in-depth online news agency
to “bridge the gap” and “connect the dots” with critical and constructive minds on development and environmental policies in Thailand and the Mekong region; to deliver meaningful messages and create the big picture critical to public understanding and decision-making, thus truly being the public’s critical voice

