สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ จัดทำบทความ PIERspectives เพื่อฉายภาพกว้างเกี่ยวกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3 ตอน โดยตอนแรกได้นำเสนอแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สถานการณ์ของโลกและของประเทศไทย ตลอดจนผลกระทบฯ ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ตอนที่ 2 นำเสนอความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas mitigation) รวมทั้งการปรับเพื่อขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (low-carbon economy) และตอนสุดท้ายจะเน้นการดำเนินการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change adaptation)
สถานการณ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
ประเทศไทยมีแนวโน้มปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยภาคพลังงานมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด โดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (ไม่รวมภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน) ในปี 2019 อยู่ที่ 372.72 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) เพิ่มจาก 245.9 MtCO2eq ในปี 2000 (รูปที่ 10) โดยภาคพลังงานเป็นภาคที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดที่ระดับ 260.77 MtCO2eq ในปี 2019 คิดเป็นร้อยละ 69.96 รองลงมาคือภาคเกษตรกรรมซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก 56.77 MtCO2eq (ร้อยละ 15.23) กระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (industrial process and product use: IPPU) 38.3 MtCO2eq (ร้อยละ 10.28) และภาคการจัดการของเสีย 16.88 MtCO2eq (ร้อยละ 4.53)

ที่มา: ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
หากพิจารณาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสาขาพลังงานในปี 2019 พบว่า อุตสาหกรรมพลังงานมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดที่ 103,356 GgCO2eq (40%) รองลงมาคือการขนส่ง 76,923 GgCO2eq (30%) อุตสาหกรรมการผลิตและการก่อสร้าง 53,138 GgCO2eq (20%) และน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 9,968 GgCO2eq (4%) ตามลำดับ สำหรับการใช้พลังงานอื่น ๆ และเชื้อเพลิงแข็ง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยในปี 2019 อยู่ที่ 16,870 GgCO2eq (6%) และ 519 GgCO2eq (0.20%) ตามลำดับ
การปลูกข้าวเป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดในสาขาเกษตรในปี 2019 โดยมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 28,715 GgCO2eq (51%) รองลงมาคือ การหมักในระบบย่อยอาหารสัตว์ (enteric fermentation) และการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ทางตรงจากดินเกษตร ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก 10,766 GgCO2eq (19%) และ 8,060 GgCO2eq (14%) ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมทางการเกษตรอื่น ๆ ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน ได้แก่ การปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ทางอ้อมจากดินเกษตร การจัดการมูลสัตว์ การเผาเศษวัสดุทางการเกษตรและชีวมวลในพื้นที่เพาะปลูก การใส่ปุ๋ยยูเรีย การปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ทางอ้อมจากการจัดการมูลสัตว์ และการใส่ปูน (liming)
ในสาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (IPPU) อุตสาหกรรมอโลหะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 19,393 GgCO2eq (51%) รองลงมาคืออุตสาหกรรมเคมีและการใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนสารทำความเย็น ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก 13,244 GgCO2eq (34%) และ 4,953 GgCO2eq (13%) ตามลำดับ แหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ในสาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงที่ไม่ได้เป็นพลังงานและตัวทำละลายและกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
สำหรับสาขาการจัดการของเสีย การจัดการขยะมูลฝอย การบำบัดน้ำเสียและการระบายทิ้งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 8,343 GgCO2eq (49.4%) และ 8,215 GgCO2eq (48.7%) ตามลำดับตามมาด้วยการกำจัดขยะด้วยการเผาในเตาเผาและเผากลางแจ้งซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก 164 GgCO2eq (0.98%) และการบำบัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีทางชีวภาพ 154 GgCO2eq (0.91%)
แนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย
ภายใต้การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30% จากกรณีปกติ (business as usual: BAU) ในปี 2030 และในกรณีที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศในด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพ ไทยตั้งเป้าที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40% จาก BAU ทั้งนี้ ภายใต้การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 (Thailand’s 2nd Updated NDC) มีการระบุแนวทางและเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกในแต่ละสาขาต่าง ๆ ดังแสดงในตาราง
สาขา | แนวทางและเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจก |
---|---|
พลังงานและขนส่ง | – การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน – การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการใช้พลังงาน – การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (electric vehicles: EV) – การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในยานยนต์ – การส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ |
เกษตร | – การปรับปรุงการปลูกข้าว – การผลิตก๊าซชีวภาพ (biogas) จากมูลสัตว์ |
กระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ | – การใช้วัสดุทดแทนปูนเม็ด – การใช้สารทำความเย็นที่มีค่า global warming potential (GWP) ต่ำ |
การจัดการของเสีย | – การจัดการขยะและน้ำเสียชุมชน – การจัดการน้ำเสียอุตสาหกรรม |
ที่มา: การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2
ในระยะยาว แนวทางและเทคโนโลยีลดก๊าซเรือนกระจกยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (net zero) เป็นศูนย์ ภายในปี 2050 และ 2065 ตามลำดับ โดยยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (long-term low greenhouse gas emissions development strategy: LT-LEDS) ฉบับปรับปรุง มีการกล่าวถึงแนวทางและเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละสาขา รายละเอียดดังแสดงในตาราง
สาขา | แนวทางและเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจก |
---|---|
พลังงานและขนส่ง | – การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม – เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (carbon capture and storage: CCS) เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (carbon capture, utilization and storage: CCUS) เทคโนโลยีการผลิตพลังงานชีวภาพด้วยการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (bio energy with carbon capture and storage: BECCS) – ยานยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง การใช้รถเครื่องยนต์สันดาปภายในประสิทธิภาพสูงร่วมกับเชื้อเพลิงชีวภาพ |
เกษตร | – การปรับปรุงการปลูกข้าว – การปรับปรุงสูตรอาหารสัตว์สำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง – การจัดการมูลสัตว์ – การจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร – การส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ |
กระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ | – การใช้วัสดุทดแทนปูนเม็ด – การใช้สารทำความเย็นทดแทนที่ไม่ทำลายโอโซนที่มีค่า GWP ต่ำ – การใช้เทคโนโลยี CCS ในการผลิตซีเมนต์ |
การจัดการของเสีย | – การจัดการขยะมูลฝอยชุมชน – การบำบัดน้ำเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม |
ที่มา: ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (LT-LEDS) ฉบับปรับปรุง
กลไกสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในบริบทของประเทศไทย
- มาตรการกำหนดราคาคาร์บอน (carbon pricing)
กรมสรรพสามิตเตรียมใช้ภาษีคาร์บอนเป็นกลไกภาคบังคับเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยปรับใช้ภาษีคาร์บอนโดยใช้หลักการแปลงภาษีสรรพสามิตเดิมที่มีการผูกกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่แล้ว เช่น ภาษีน้ำมัน ให้อยู่ในรูปของภาษีคาร์บอน เพื่อไม่สร้างภาระทางภาษีเพิ่มแก่ประชาชน โดยกำหนดราคากลางที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์7 ซึ่งน้อยกว่าราคาคาร์บอนของอียู (EU ETS) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2,700 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 6.44 บาทต่อลิตร และเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 6.50 บาทต่อลิตร โดยน้ำมันดีเซลปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 0.0026987 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อลิตร ในขณะที่น้ำมันเบนซินปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 0.0021816 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อลิตร การแปลงภาษีสรรพสามิตน้ำมันเป็นภาษีคาร์บอนเป็นการแก้กฎหมายชั้นกฎกระทรวงเท่านั้น ทำให้จำเป็นต้องผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติใหม่ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้ส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังสหภาพยุโรปจะสามารถนำภาษีคาร์บอนที่จ่ายไปใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM ที่ทางสหภาพยุโรปจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าไปยังสหภาพยุโรปได้หรือไม่
- กลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ประเทศไทยมีมาตรฐานการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ซึ่งมุ่งเน้นส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ โดยสามารถนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นไปขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจในประเทศ มาตรฐาน T-VER พัฒนาขึ้นโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) และทาง อบก. ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการพัฒนาโครงการ ระเบียบวิธีการในการลดก๊าซเรือนกระจก การขึ้นทะเบียนและการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยจะต้องเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทย8
สำหรับการรับรองคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานของภาคเอกชน องค์กร หรือมูลนิธิต่าง ๆ (independent crediting mechanism) ปัจจุบันมาตรฐานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือมาตรฐาน Verified Carbon Standard (VCS) โดย VERRA รองลงมาคือ Gold Standard, California Air Resources Board (ARB), American Carbon Registry (ACR) และ Climate Action Reserve (CAR)

ที่มา: องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลาสามรอบบัญชีต่อเนื่องกันสำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากธุรกรรมการขายคาร์บอนเครดิตในประเทศในตลาดแรก โดยมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนและจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ
- มาตรการจูงใจทางด้านภาษีและเงินอุดหนุนโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Thailand Board of Investment: BOI) มีมาตรการและให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ กับผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ได้แก่ การลงทุนด้านการประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทน ลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผลิตและให้บริการด้านยานพาหนะไฟฟ้า รวมถึงใช้เทคโนโลยีการดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์คาร์บอน (CCUS)
มาตรการส่งเสริมการลงทุน | สิทธิประโยชน์ |
---|---|
มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม | – ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร – ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี วงเงิน 50% ของเงินลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ |
มาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตร เช่น การลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากการปลูกข้าว ฯลฯ | – ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี 120% ในวงเงินสนับสนุน |
มาตรการส่งเสริมการลงทุนในกิจการยานพาหนะไฟฟ้าครบวงจร | – ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3-11 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทกิจการ |
มาตรการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี carbon capture, utilization and storage (CCUS) ในกิจการโรงแยกก๊าซธรรมชาติและกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี | – ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี |
ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายสร้างแรงจูงใจการลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านมาตรการ feed-in-tariff (FiT) เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง โดยผู้ประกอบการที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะได้รับแรงจูงใจผ่านมาตรการ FiT ซึ่งเป็นอัตรารับซื้อไฟฟ้าคงที่ตลอดอายุโครงการ (ต่างจากกลุ่มที่มีการใช้เชื้อเพลิงที่มีการปรับเพิ่ม) และอัตรา FiT จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามค่าไฟฐานและค่า fuel adjustment charge (at the given time) (Ft)
อย่างไรก็ดี การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแต่ละประเภทมีความเสี่ยงของการดำเนินกิจการที่แตกต่างกัน การกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT จึงแตกต่างกัน โดยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนกลุ่มไม่มีต้นทุน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม จะไม่มีต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิง แต่มีความไม่แน่นอนของพลังงานจากธรรมชาติ ในขณะที่พลังงานหมุนเวียนประเภทชีวมวลและขยะเผชิญความผันผวนด้านต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิง ดังนั้น การกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT จึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
- อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนคงที่ (FiT fixed หรือ FiTF)
- อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนแปรผัน (FiT variable หรือ FiTV)
โดย FiTF คิดจากต้นทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าและค่าดำเนินการและบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งใช้กับพลังงานหมุนเวียนทุกประเภท ในขณะที่ FiTV คิดจากต้นทุนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าซึ่งเปลี่ยนแปลงตามเวลา ดังนั้น จึงใช้กับเฉพาะพลังงานหมุนเวียนประเภทชีวมวลและขยะ เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT พิเศษ (FiT premium) เพิ่มเติมจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ปกติ สำหรับเทคโนโลยีบางประเภท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายของรัฐบาล เช่น การผลิตไฟฟ้าจากขยะ ชีวมวล และก๊าซชีวภาพ และโครงการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
- มาตรการสนับสนุนทางการเงิน
สำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือการอนุรักษ์พลังงาน มีการใช้มาตรการจูงใจและสนับสนุนทางการเงินผ่านกองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ เช่น กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนหมุนเวียนเพื่อการประหยัดพลังงาน โดยแต่ละกองทุนมีรายละเอียดดังนี้
กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ENCON Fund)
กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ENCON Fund) เป็นแหล่งเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนสำหรับการลงทุนและการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงานหรือการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรเอกชน ตลอดจนใช้เป็นเงินช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนการวิจัย โครงการสาธิต หรือโครงการริเริ่มที่เกี่ยวกับการพัฒนา ส่งเสริม และการอนุรักษ์พลังงาน รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลและการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน
กองทุนหมุนเวียนเพื่อการประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency Revolving Fund: EERF)
กองทุนหมุนเวียนเพื่อการประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency Revolving Fund: EERF) มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้น ส่งเสริม และผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนผ่านกลไกการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
กองทุน ESCO Fund มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนผ่านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในโครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน และช่วยผู้ลงทุนให้ได้ประโยชน์จากการขายคาร์บอนเครดิต โดยทางกองทุนฯ จะได้รับผลตอบแทนตามสัดส่วนของการลงทุนและผลประกอบการของบริษัทหรือโครงการที่เข้าร่วมลงทุน
- มาตรการการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate finance)
หากพิจารณาการจัดสรรเงินทุนผ่านสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย พบว่า มูลค่าสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน โดยมูลค่าของสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม (ไม่รวมธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน) เพิ่มขึ้นจากราว 6.2 หมื่นล้านบาทในปี 2013 เป็น 9 หมื่นล้านบาทในปี 2020 (รูปที่ 12) ซึ่งสะท้อนว่าสถาบันการเงินในประเทศไทย นักลงทุน และผู้ประกอบการมีการตื่นตัวเกี่ยวกับการจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (Khueanpanya et al., 2021)

ที่มา: Khueanpanya et al. (2021)
ในส่วนของการจัดสรรเงินทุนในรูปแบบของตราสารหนี้ยั่งยืน หากพิจารณาข้อมูลตราสารหนี้ที่ออกในประเทศไทย พบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีการออกตราสารหนี้ยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยยอดคงค้างของตราสารหนี้ยั่งยืน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2023 อยู่ที่ประมาณ 546,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาจากประมาณ 109,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2020 โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) ที่เพิ่มขึ้น

ที่มา: Thampanishvong (2023)หมายเหตุ: เป็นยอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2023
เมื่อพิจารณาวัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนจากการออกตราสารหนี้ (use of proceeds) พบว่าส่วนใหญ่ยังคงเน้นไปที่โครงการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตัวอย่างโครงการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ยั่งยืน เช่น โครงการเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อาคารสีเขียว ระบบขนส่งที่สะอาด การจัดการของเสียและน้ำเสีย และการสนับสนุนการปลูกป่าเพื่อกักเก็บคาร์บอน
- มาตรการอุดหนุนการลงทุนในวัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
ภาคธุรกิจทั้งสถานประกอบการขนาดใหญ่และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) สามารถได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนในเครื่องจักร วัสดุ และอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงาน ไม่เกิน 20% ของเงินลงทุนในแต่ละมาตรการที่ช่วยลดการใช้พลังงาน โดยตัวอย่างมาตรการที่ช่วยลดพลังงาน เช่น อุปกรณ์นำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ใหม่ มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนจากอากาศสู่อากาศ เป็นต้น วงเงินอุดหนุนภายใต้มาตรการประมาณ 50,000–3,000,000 บาทต่อราย ซึ่งแตกต่างตามขนาดของสถานประกอบการ สำหรับสถานประกอบการขนาดใหญ่ สนับสนุนอัตรา 20% แต่ไม่เกิน 3,000,000 บาทต่อราย และสำหรับสถานประกอบการประเภท SME สนับสนุนอัตรา 30% แต่ไม่เกิน 3,000,000 บาทต่อราย โดยโครงการที่ขอรับการสนับสนุนการลงทุนในวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงานต้องมีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 7 ปี
- มาตรการสนับสนุนทางด้านกฎระเบียบ
หน่วยงานภาครัฐได้พยายามปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้การลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เช่น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อยกระดับการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งไม่ครอบคลุมภายใต้กฎหมายที่ใช้ในปัจจุบัน14 ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานได้มีการดำเนินโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (Energy Regulatory Commission Sandbox: ERC Sandbox) โดยส่วนหนึ่งของโครงการ ERC Sandbox มุ่งเน้นการพัฒนากฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือข้อกำหนดที่เหมาะสมและรองรับการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้า ให้เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ความท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเผชิญความท้าทายและอุปสรรค ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ กฎหมาย กฎระเบียบและนโยบายของภาครัฐ และทางด้านสังคม โดยทางด้านเศรษฐกิจ ความท้าทายและอุปสรรคที่สำคัญ เช่น ภาคธุรกิจขาดแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากยังไม่มีการใช้มาตรการกำหนดราคาคาร์บอน (carbon pricing measures) ปัญหา fossil-fuel lock-in การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใช้เงินลงทุนที่สูงและภาคธุรกิจบางส่วนขาดเงินทุน ราคาของเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในการลด ดักจับ หรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกยังค่อนข้างสูง เป็นต้น
ตัวอย่างความท้าทายหรืออุปสรรคทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบและนโยบายของภาครัฐ ได้แก่ การขาดกฎหมายที่บังคับให้ผู้ประกอบการเปิดเผยและรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้าเป็นอุปสรรคต่อการซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายหรือการที่นโยบายสนับสนุนขาดความต่อเนื่อง การขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เป็นต้น
สำหรับความท้าทายและอุปสรรคทางด้านสังคม ปัจจัยที่สำคัญ เช่น การขาดความตระหนักของผู้บริโภค การขาดทักษะและความไม่พร้อมของแรงงานในการรองรับการเปลี่ยนผ่าน เป็นต้น โดยความท้าทายและอุปสรรคแต่ละด้านมีรายละเอียดดังนี้
- ความท้าทายด้านเศรษฐกิจ
การขาดมาตรการกำหนดราคาคาร์บอนทำให้ภาคธุรกิจจึงขาดแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าใน (ร่าง) พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีการระบุเกี่ยวกับระบบซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) และภาษีคาร์บอนไว้ แต่ปัจจุบันเนื่องจาก (ร่าง) พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้น ประเทศไทยจึงยังไม่มีกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับ ในระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ทางกรมสรรพสามิตจึงแปลงภาษีสรรพสามิตที่เดิมมีการผูกกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่แล้ว เช่น ภาษีน้ำมัน ให้อยู่ในรูปของภาษีคาร์บอน เพื่อไม่สร้างภาระทางภาษีเพิ่มแก่ประชาชน โดยกำหนดราคากลางที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ โดยทางกรมสรรพสามิตหวังว่าภาษีคาร์บอนจะช่วยสร้างความตระหนักให้แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการในการคำนึงต้นทุนที่เกิดจากการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและมีแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ปัญหา fossil fuel lock-in หรือ carbon lock-in
ปัญหา fossil fuel lock-in หรือ carbon lock-in อาจส่งผลทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำล่าช้าหรือไม่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาประเภทนี้เกิดจากการที่โครงสร้างพื้นฐานหรือสินทรัพย์ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น แท่นขุดเจาะน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมัน โรงไฟฟ้าถ่านหิน ฯลฯ ยังคงถูกใช้งานอยู่เนื่องจากเป็นโครงการที่มีอายุโครงการค่อนข้างยาว ไม่สามารถหยุดดำเนินการได้ในทันทีถึงแม้ว่าจะมีทางเลือกอื่นที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าก็ตาม (OECD, 2023)
ด้วยเหตุนี้ บางธุรกิจที่มีโครงสร้างพื้นฐานหรือสินทรัพย์ในลักษณะเช่นนี้อยู่ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ทางเลือกที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงจึงล่าช้าหรือไม่เกิดขึ้น จากงานศึกษาของ Unruh (2002) และ Trencher & Asuka (2020) พบว่าปัญหา carbon lock-in ทำให้เกิดความเสี่ยงหลายประการต่อภาคพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการละเลยเทคโนโลยีทางเลือก การขัดขวางการส่งเสริมสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง การจำกัดนวัตกรรมด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และการบิดเบือนสภาพเศรษฐกิจ
ข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ธุรกิจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก งานศึกษาของ Foda & Vaziri (2022) และCreagy (2024) พบว่าธุรกิจที่เผชิญข้อจำกัดทางการเงินอาจมีแรงจูงใจในการลงทุนน้อยลง โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (fixed assets) ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจมีแรงจูงใจในการลงทุนด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น การผ่อนคลายหรือปลดล็อกข้อจำกัดทางการเงินจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น
จากการประมาณการโดย Creagy (2024) การลงทุนในเทคโนโลยีและแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยตามที่ระบุไว้ใน Nationally Determined Contribution (NDC) ต้องใช้เม็ดเงินสนับสนุนประมาณ 5–7 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะการลงทุนด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่งและพลังงาน ด้วยเหตุนี้ กลไกการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate finance) จึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ควรเลือกใช้กลไกหรือเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับลักษณะและความพร้อมของเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือน
ต้นทุนทางเทคโนโลยีที่ค่อนข้างสูง
ต้นทุนเทคโนโลยีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ค่อนข้างสูงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลทำให้ธุรกิจไม่ลงทุนด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Brown & Sovacool, 2008) หากต้นทุนเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้แตกต่างจากต้นทุนเทคโนโลยี ธุรกิจอาจจะมีแนวโน้มที่จะลงทุนในเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น งานศึกษาของ Gillingham & Stock (2018) ได้รวบรวมข้อมูลต้นทุนของมาตรการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยมาตรการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีต้นทุนที่แตกต่างกัน มาตรการในลักษณะของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานมีต้นทุนที่ติดลบหรือสามารถช่วยธุรกิจในการประหยัดต้นทุน ในขณะที่มาตรการประเภทการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ (dedicated-battery electric vehicle subsidies) มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ งานศึกษาต่าง ๆ ยังแสดงความแตกต่างของต้นทุนของเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบของ marginal abatement cost curve (MACC) เช่น เทคโนโลยีประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ มีต้นทุนส่วนเพิ่มติดลบ ในขณะที่การใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ในโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมเหล็ก มีต้นทุนส่วนเพิ่มที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจยังไม่จูงใจให้ธุรกิจลงทุนในเทคโนโลยีประเภท CCS ในปัจจุบัน (Enkvist & Rosander, 2007)
- ความท้าทายด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และนโยบายของภาครัฐ
กฎหมายและกฎระเบียบซึ่งไม่จูงใจให้ภาคธุรกิจพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและลงทุนในเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงนโยบายสนับสนุนของภาครัฐที่ไม่ต่อเนื่อง อาจไม่จูงใจให้ภาคธุรกิจลงทุน จากงานศึกษาของ OECD (2015) และ Institute for Sustainable Development (2017) พบว่านโยบายอุดหนุนราคาพลังงาน (fossil fuel subsidies) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลทำให้การคิดค้นนวัตกรรมด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นได้ช้าลงและเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ กฎหมายและกฎระเบียบซึ่งกำกับการซื้อขายไฟฟ้าก็อาจเป็นอุปสรรคในการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน16
- ความท้าทายด้านสังคม
การขาดความตระหนักของผู้บริโภคถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสนับสนุนสินค้าและบริการคาร์บอนต่ำ ตลอดจนการขาดทักษะและความไม่พร้อมของแรงงานในการรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเป็นหนึ่งในอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ งานศึกษาของ Saraji & Streimikiene (2023) ซึ่งศึกษาปัจจัยที่เป็นความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด (energy transition) พบว่า การขาดความตระหนักของผู้บริโภคถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเป็นอุปสรรคสำคัญ
ดังนั้น การให้ข้อมูลและความรู้แก่ผู้บริโภคผ่านกิจกรรมรณรงค์ เว็บไซด์ และช่องทางต่าง ๆ เป็นสิ่งที่จำเป็น (Baek & Kang, 2019; Suberu & Mokhtar, 2013) นอกจากนี้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจจำเป็นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในส่วนของผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป เช่น การลดการใช้พลังงาน การลดการใช้ยานพาหนะส่วนบุคคล การปรับเปลี่ยนไปใช้ระบบสื่อสารมวลชน เป็นต้น (Axsen & Kurani, 2012) รวมทั้งควรมีการเสริมสร้างและปรับเปลี่ยนทักษะของแรงงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเมื่อมีการปรับเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ไปสู่อุตสาหกรรมที่สะอาดมากขึ้น (Saussay & O’Kane, 2022)
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทยเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
บทความ PIERspectives นี้ ชี้ให้เห็นว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในประเทศไทยเผชิญความท้าทายและอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการขาดมาตรการกำหนดราคาคาร์บอน โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในปัจจุบัน รวมถึงกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ต้นทุนเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูง การขาดความตระหนักถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคส่วนต่าง ๆ ตลอดจนข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินทุนเพื่อใช้สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญดังนี้
- การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งการกำหนดให้บางธุรกิจเปิดเผยและรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และเป็นส่วนสำคัญของระบบซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) การมีมาตรการกำหนดราคาคาร์บอนทั้งในรูปแบบของ ETS และภาษีคาร์บอน ตลอดจนการจัดตั้งกองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งใช้เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลภูมิอากาศ ข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมด้านการลด ดูดซับ ดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และสร้างเสริมศักยภาพการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- การออกแบบมาตรการกำหนดราคาคาร์บอนที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ถึงแม้ว่าร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีการกำหนดให้มีระบบซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) และภาษีคาร์บอน แต่ยังขาดรายละเอียดของทั้งสองกลไก เนื่องจากการออกแบบและพัฒนากลไก ETS และภาษีคาร์บอนมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงหลายส่วน โดยเฉพาะผลกระทบของกลไกกำหนดราคาคาร์บอนต่อเศรษฐกิจและการมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับระบบ ETS สิ่งที่ต้องคำนึงถึง เช่น อุตสาหกรรมหรือประเภทธุรกิจที่ครอบคลุม การจัดสรรใบอนุญาต หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดซื้อขายใบอนุญาต ฯลฯ ในกรณีของภาษีคาร์บอน สิ่งที่ต้องคำนึงถึง เช่น อัตราภาษีคาร์บอน ผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุม การจัดการกับรายได้จากภาษีคาร์บอน ฯลฯ ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบด้วยในการออกแบบกลไกกำหนดราคาคาร์บอน เช่น การรักษาสมดุลในการกำหนดราคาคาร์บอนให้จูงใจให้ภาคธุรกิจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและในขณะเดียวกันไม่สร้างภาระแก่ผู้บริโภคและธุรกิจมากจนเกินไป ความสามารถที่ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะสหภาพยุโรปใช้ในการลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM เป็นต้น
- การพัฒนาระบบตรวจวัด รายงานผล และทวนสอบการปล่อยและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (monitoring, reporting and verification: MRV) ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการประเมินการปล่อยและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย MRV มีหลายส่วน ในระดับประเทศ มีการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกซึ่งแสดงแหล่งปล่อยและดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ ปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ในระดับองค์กรหรือธุรกิจ มีระบบคาร์บอนฟุตพรินต์องค์กร (CFO) และคาร์บอนฟุตพรินต์ผลิตภัณฑ์ (CPO) สิ่งสำคัญคือระบบ MRV จะต้องมีความน่าเชื่อถือและพัฒนาขึ้นตามหลักการที่ยอมรับตามมาตรฐานสากลและมีความถูกต้อง โปร่งใส สอดคล้อง สมบูรณ์ และสามารถเปรียบเทียบได้เพื่อให้ได้ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ถูกต้อง และเชื่อถือได้ รวมทั้งสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับธุรกิจและระดับประเทศ
- การสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภคและภาคธุรกิจให้เห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสำหรับผู้บริโภค อาจดำเนินการให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ผ่านหลายช่องทาง ทั้งการผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา การจัดกิจกรรมรณรงค์ ฯลฯ โดยหลักการสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ เริ่มต้นจากการเรียนรู้ ว่ากิจกรรมหรือพฤติกรรมใดสามารถส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากนั้นก็เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของการดำเนินชีวิตให้เหมาะสม หลังจากนั้นควรมีการประเมินผลจากการนำไปปฏิบัติเพื่อพิจารณาว่า แนวทางใดจะสามารถส่งเสริมให้เกิดความตระหนักรู้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเป็นรูปธรรมได้ สำหรับภาคธุรกิจ ควรมีการสื่อสารให้ธุรกิจทราบว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการที่ธุรกิจปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงจะช่วยทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบจากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนน้อยลง
- การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจตรวจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรและผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ธุรกิจทราบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์และก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร เช่น การใช้ไฟฟ้า การจัดการของเสีย การขนส่ง ฯลฯ นอกจากนี้ การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ผลิตภัณฑ์ (CPO) และคาร์บอนฟุตพรินต์องค์กรเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งปัจจุบันหลายภาคส่วนมีความพยายามในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์องค์กรแบบไม่ยุ่งยากและต้นทุนต่ำด้วยตัวเอง เช่น แพลตฟอร์ม SET Carbon ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แอพลิเคชัน ZERO CARBON รวมถึง Thai Carbon Footprint Calculator เป็นต้น การที่ธุรกิจมีข้อมูล CFO นั้น ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อระบุจุดที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดคาร์บอนฟุตพรินต์หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Eleftheriadis & Anagnostopoulou, 2024)
- การปลดล็อกกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ภาคเอกชนมีแรงจูงใจในการลงทุนในเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ควรมีการปฏิรูปหรือปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยหรือเป็นอุปสรรค เช่น กฎหมายและกฎระเบียบซึ่งกำกับการซื้อขายไฟฟ้าซึ่งไม่อนุญาตให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตรงให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าได้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน อาทิ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เป็นต้น
- การสนับสนุนให้ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับสนับสนุนการดำเนินงานด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งเผชิญข้อจำกัดทางด้านการเงิน ควรสนับสนุนให้ธุรกิจเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน โดยเฉพาะการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate finance) ตัวอย่างเช่น สินเชื่อสีเขียว ตราสารหนี้สีเขียว/ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (sustainability-linked bond) กองทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change fund) รวมถึง supply chain finance ที่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ธุรกิจขนาดใหญ่ใช้ในการสนับสนุนคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน โดยช่วยให้คู่ค้าสามารถเข้าถึงสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่าปกติ ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนเป็นเงื่อนไขให้คู่ค้าปฏิบัติตามเพื่อรับการสนับสนุนทางการเงินนี้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน
- การมีมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต่อกลุ่มเปราะบาง เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนในกลุ่มต่าง ๆ ไม่เท่าเทียมกัน เช่น ผู้มีรายได้น้อยอาจได้รับผลกระทบจากราคาไฟฟ้าเมื่อมีการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น ผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านฯ
อ่านบทความฉบับเต็ม@ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจ: ตอนที่ 2 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ดร.กรรณิการ์ ปัจจุบันเป็นหัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยเป็นนักวิชาการอาวุโสที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอาจารย์ประจำ School of Economics and Finance มหาวิทยาลัย St Andrews
ดร.กฤษฎ์เลิศ ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ที่ University of California San Diego (UCSD) และผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และธนาคารแห่งประเทศไทย