ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนริมแม่น้ำทางตอนเหนือที่ติดกับเมียนมากำลังใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกังวล เนื่องจากผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดนที่เกิดจากการทำเหมืองที่ไร้การควบคุมในเมียนมา และอนาคตที่ไม่แน่นอนของพวกเขา
แสงอาทิตย์สีทองยามบ่ายส่องทะลุผ่านท้องฟ้าขมุกขมัวของช่วงปลายฤดูฝน และสาดแสงเหนือไร่ริมน้ำขนาดสองไร่ของป้าติ๊บ คำลือ วัย 59 ปี ใกล้แม่น้ำกกในบ้านใหม่หมอกจ๋าม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอำเภอทางตอนเหนือสุดของจังหวัดเชียงใหม่ติดชายแดนรัฐฉานในเมียนมา
“หญิงสาว” ของเธอ ยืนต้นอ่อนล้าในสวนที่ถูกน้ำโคลนท่วมทับมาแล้วสองครั้งในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ป้าติ๊บคิดว่าตัวเองยังโชคดีมาก เพราะเธอยังพอสามารถเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบเขียวพันธุ์พิเศษนี้ได้บ้างก่อนที่จะถูกน้ำท่วมบางส่วน ซึ่งมันคือแหล่งรายได้หลักของครอบครัวในปีนี้
แต่ฤดูเพาะปลูกครั้งต่อไปที่จะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้ เธอรู้สึกไม่แน่ใจในอนาคตข้างหน้าเท่าใดนัก
“พวกเขาบอกว่าจะมาช่วยตรวจสอบดินในไร่ก่อนที่ป้าจะปลูกพืชผลชุดต่อไป เพื่อดูว่าดินได้รับผลกระทบจากสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำหรือไม่ ไร่ของป้าไม่ได้อยู่ติดแม่น้ำ ห่างไปมากกว่า 30 เมตร ซึ่งพวกเขาบอกว่าปลอดภัย ป้าเลยหวังว่ามันจะไม่โดนสารพิษที่ปนเปื้อนมากับน้ำ” ป้าติ๊บกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนัก
มลพิษข้ามพรมแดนที่ไหลบ่าเข้ามาจากพื้นที่ทางต้นน้ำของเมียนมาสู่ประเทศไทยอันเป็นผลจากการทำเหมืองที่ไร้การควบคุม กำลังสร้างความวิตกกังวลและความตึงเครียดกดดันทางจิตใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่ปลายน้ำ ( อ่าน: รายงานชุดพิเศษ: สายน้ำที่ปนเปื้อน: จากทองคำถึง “แร่หายาก”, เหมืองแร่ในเมียนมากำลังก่อมลพิษข้ามพรมแดนบนสายน้ำโขงและสาขา)
ไม่ใช่แค่ป้าติ๊บเท่านั้น แท้จริงแล้ว เกษตรกรและชาวบ้านหลายหมื่นคนในอำเภอชายแดนแห่งนี้และอีกหลายอำเภอในจังหวัดเชียงราย ที่ซึ่งแม่น้ำกก สาย รวก และแม่น้ำโขงไหลผ่าน กำลังรู้สึกไม่ต่างจากเธอ เนื่องจากความไม่แน่นอนในชีวิตกำลังทวีขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับความชัดเจน จนพวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า อะไรปลอดภัยสำหรับการบริโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร และอื่นๆ
นับตั้งแต่ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ชาวบ้านเหล่านี้แทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษและการปนเปื้อนของสารพิษที่กำลังกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง เนื่องจากข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้มีเพียงเล็กน้อยและกระจัดกระจาย ในบางพื้นที่ เช่น ท่าตอน ชาวบ้านกำลังตั้งคำถามที่แหลมคมว่า มีการปกปิดข้อมูลหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับสุขภาพของพวกเขา
“ทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนบอกให้เรารอผลตรวจ แต่ผมยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากทางโรงพยาบาลเลย ไม่รู้ว่าจะทราบผลตรวจเมื่อไหร่ หรือว่าป่วยเป็นอะไร” ก๊อป โกฎคำ ชาวบ้านวัย 42 ปีในหย่อมบ้านแก่งทรายมูลของท่าตอนกล่าว เขาคือหนึ่งในชาวบ้านของหย่อมบ้านที่ได้รับการตรวจปัสสาวะหลังจากทำงานในน้ำเป็นเวลาหลายชั่วโมงเมื่อเดือนเมษายนเพื่อสร้างแพไม้ไผ่ให้นักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อหารายได้ แต่กลับมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
ไม่นานหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ได้เริ่มการสอบสวนเรื่องนี้ โดยเริ่มจากเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กรมควบคุมมลพิษ พวกเขาได้จัดตั้งทีมเพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำตลอดแนวแม่น้ำกกที่มีความยาว 300 กิโลเมตร ก่อนที่จะขยายออกไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงแม่น้ำโขง หลังจากนั้น หน่วยงานส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ที่รับผิดชอบการใช้น้ำ การประมง การเกษตร และสาธารณสุข ก็ดำเนินการตามข้อสั่งการของหน่วยงานหลักของตนและรัฐบาล
แต่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่หลายคนที่เกี่ยวข้องระบุว่า แผนการติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนของสารพิษของพวกเขามีข้อจำกัด เนื่องจากถูกผูกติดกับงบประมาณประจำปี พวกเขากล่าวว่า งานบางส่วนต้องบูรณาการเข้ากับงานติดตามเฝ้าระวังตามปกติ
เจ้าหน้าที่เหล่านี้ยอมรับว่า งานของพวกเขาไม่ได้ครอบคลุมและสอดคล้องกันเท่าที่ควร ยกตัวอย่างเช่น การตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับปลาและพืชผลทางการเกษตรนั้น ดำเนินการกับตัวอย่างเพียงไม่กี่ตัวอย่างเนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ
ในจังหวัดเชียงใหม่หรือริมแม่น้ำสายในจังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถกำหนดจุดเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำได้เพียงแห่งเดียวในแต่ละพื้นที่ แม้ว่าการเฝ้าระวังสารพิษอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีการวางแผนที่เป็นวิทยาศาสตร์ และสำหรับงานประมง ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีในการติดตาม เนื่องจากสารพิษเหล่านี้จะมีระยะเวลาในการสะสมในสัตว์น้ำและแสดงผลกระทบออกมา
จนถึงขณะนี้ การตรวจสอบและติดตามของเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ ยกเว้นจากสำนักงานฯ ที่ 1 พบว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน คือ ไม่พบสารพิษ หรือหากพบสารพิษ ก็จะพบในปริมาณที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ยกเว้นการตรวจสอบน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคล่าสุด ที่พบว่าน้ำในหมู่บ้านริมแม่น้ำกก 18 หมู่บ้าน มีการปนเปื้อนสารตะกั่วเกินมาตรฐาน เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ได้รับการเปิดเผยโดย ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ของพรรคประชาชน ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ซึ่งได้ติดตามเรื่องนี้เพื่อชี้แจงข้อกังวลของประชาชนต่อรัฐบาลอย่างใกล้ชิด
ผลการตรวจติดตามสุขภาพยิ่งมีความซับซ้อนมากไปกว่านั้น เนื่องจากผลการตรวจสอบสุขภาพประชาชนในกลุ่มเสี่ยงทั้ง 2 จังหวัดเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ยังไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ
ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามประเด็นนี้หลายรายตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่ได้รับการรวบรวมและบูรณาการเพื่อสร้างชุดข้อมูลที่มีความหนักแน่นน่าเชื่อถือและครอบคลุมเพียงพอที่จะช่วยให้รัฐบาลกำหนดนโยบายหรือแนวทางแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสม และเมื่อกล่าวถึงประเด็นการเผยแพร่ข้อมูลและการสื่อสารกับประชาชนแล้ว สิ่งเหล่านี้กลับไม่เพียงพอ เป็นไปอย่างจำกัด ขาดความต่อเนื่อง หรือเข้าถึงได้ยาก
ก๊อป ซึ่งยังคงรอผลตรวจสุขภาพอยู่ กล่าวได้แต่ว่า “พวกเขาแทบจะไม่บอกอะไรเราเลย ไม่บอกว่าเราป่วยหรือต้องทำอะไรต่อไป ทำให้เรากังวลไปเปล่าๆ”
ท่ามกลางความกังวลและความสับสนที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ชาวบ้านในพื้นที่ ผลกระทบจากสารพิษปนเปื้อนได้เริ่มปรากฏให้เห็นในหลายชุมชนริมฝั่งแม่น้ำแล้ว
ในเวลานี้ ชาวบ้านพยายามที่จะอยู่ห่างจากแม่น้ำและจะไม่ลงสัมผัสน้ำโดยไม่จำเป็น ในพื้นที่แทบไม่มีการหาปลาในแม่น้ำมาหลายเดือนแล้ว ขณะที่กิจกรรมอื่นๆ ก็หยุดชะงัก รวมถึงการท่องเที่ยว หรือแม้แต่การจัดงานประเพณีอย่างสงกรานต์
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น “น้ำ” และ “ดิน” ที่ปลอดภัยดูเหมือนจะลดหายลงไปในทุกขณะ ทำให้ผู้คนต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการเสาะแสวงหาแหล่งน้ำและผืนดินที่พวกเขาสามารถเชื่อใจได้สำหรับใช้ในการดำรงชีวิตต่อๆ ไป …ด้วยความอ่อนล้าและความหวังที่คล้ายจะลางเลือนมากขึ้นทุกขณะเช่นกัน

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ตัวอย่างปลา รวมถึงปลาต่างถิ่น “ซักเกอร์” ที่หากินตามพื้นแม่น้ำ ถูกจับได้ในแม่น้ำสายก่อนส่งไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ประมงในพื้นที่ใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำจากข้อจำกัดในหลายๆ ปัจจัย เจ้าหน้าที่ยังพยายามกำหนดจุดเก็บตัวอย่างตามแม่น้ำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยขณะนี้มีทั้งหมด 21 จุด ในเชียงราย 20 จุด แต่เชียงใหม่มีเพียงจุดเดียว เจ้าหน้าที่กล่าวว่า การเฝ้าระวังสารพิษในสัตว์น้ำต้องใช้เวลา และจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบและงบประมาณที่เพียงพอ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีอยู่ในแผนงานและนโยบายของรัฐบาล ผลการตรวจสอบฯ ที่ผ่านมายังไม่พบสารพิษปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน แต่เจ้าหน้าที่ประมงในพื้นที่รับผิดชอบเลือกที่จะแจ้งชาวบ้านในพื้นที่ว่า “ปลาในแม่น้ำปลอดภัย แต่ไม่ควรบริโภค”
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในเดือนมีนาคม ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีชีวิตและอาชีพของพวกเขา ที่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ซึ่งเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงนิเวศยอดนิยมริมแม่น้ำกก ต.แม่ยาว จ.เชียงราย นักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ควาญช้างต้องดิ้นรนดูแลช้างของพวกเขาเอง ด้วยความไม่แน่ใจว่าอาหารและน้ำของช้างปลอดภัยหรือไม่ จนถึงขณะนี้ ควาญช้างตัดสินใจหยุดให้ช้างลงอาบน้ำในน้ำกกอย่างที่เคยเป็นมา เพราะกลัวว่าช้างจะป่วยจากมลพิษ พวกเขาลงทุนสร้างบ่อน้ำและระบบประปาภูเขาที่อยู่ไกลออกไป เพื่อให้มั่นใจว่าช้างของพวกเขาจะมีน้ำที่ปลอดภัยไว้ใช้
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ตัวอย่างน้ำจาก KK01 ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์



