ก๊อป โกฎคำ วัย 42 ปี ชาวบ้านแก่งทรายมูล ตำบลท่าตอน ซึ่งมีผื่นขึ้นตามผิวหนังเมื่อเดือนเมษายน โชว์ภาพผื่นที่เขาถ่ายไว้ในโทรศัพท์มือถือ ก๊อปเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ของชุมชนที่มีอาการผิดปกติหลังจากสัมผัสกับแม่น้ำกก แต่ไม่ได้รับการตรวจจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโดยทันที จนกระทั่งกลางเดือนสิงหาคม เขาจึงได้รับการตรวจสุขภาพ ก๊อปตั้งคำถามถึงความล่าช้า และสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงต้องเป็นฝ่ายร้องขอ แทนที่เจ้าหน้าที่จะรีบดำเนินการอย่างเร่งด่วนนับตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดผื่นขึ้น Photo: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

PHOTO ESSAY: สายน้ำ ผู้คน และชีวิตในความหวาดกลัว

ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนริมแม่น้ำทางตอนเหนือที่ติดกับเมียนมากำลังใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกังวล เนื่องจากผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดนที่เกิดจากการทำเหมืองที่ไร้การควบคุมในเมียนมา และอนาคตที่ไม่แน่นอนของพวกเขา

แสงอาทิตย์สีทองยามบ่ายส่องทะลุผ่านท้องฟ้าขมุกขมัวของช่วงปลายฤดูฝน และสาดแสงเหนือไร่ริมน้ำขนาดสองไร่ของป้าติ๊บ คำลือ วัย 59 ปี ใกล้แม่น้ำกกในบ้านใหม่หมอกจ๋าม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอำเภอทางตอนเหนือสุดของจังหวัดเชียงใหม่ติดชายแดนรัฐฉานในเมียนมา

“หญิงสาว” ของเธอ ยืนต้นอ่อนล้าในสวนที่ถูกน้ำโคลนท่วมทับมาแล้วสองครั้งในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ป้าติ๊บคิดว่าตัวเองยังโชคดีมาก เพราะเธอยังพอสามารถเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบเขียวพันธุ์พิเศษนี้ได้บ้างก่อนที่จะถูกน้ำท่วมบางส่วน ซึ่งมันคือแหล่งรายได้หลักของครอบครัวในปีนี้

แต่ฤดูเพาะปลูกครั้งต่อไปที่จะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้ เธอรู้สึกไม่แน่ใจในอนาคตข้างหน้าเท่าใดนัก 

“พวกเขาบอกว่าจะมาช่วยตรวจสอบดินในไร่ก่อนที่ป้าจะปลูกพืชผลชุดต่อไป เพื่อดูว่าดินได้รับผลกระทบจากสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำหรือไม่ ไร่ของป้าไม่ได้อยู่ติดแม่น้ำ ห่างไปมากกว่า 30 เมตร ซึ่งพวกเขาบอกว่าปลอดภัย ป้าเลยหวังว่ามันจะไม่โดนสารพิษที่ปนเปื้อนมากับน้ำ” ป้าติ๊บกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนัก

มลพิษข้ามพรมแดนที่ไหลบ่าเข้ามาจากพื้นที่ทางต้นน้ำของเมียนมาสู่ประเทศไทยอันเป็นผลจากการทำเหมืองที่ไร้การควบคุม กำลังสร้างความวิตกกังวลและความตึงเครียดกดดันทางจิตใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่ปลายน้ำ ( อ่าน: รายงานชุดพิเศษ: สายน้ำที่ปนเปื้อน: จากทองคำถึง “แร่หายาก”, เหมืองแร่ในเมียนมากำลังก่อมลพิษข้ามพรมแดนบนสายน้ำโขงและสาขา)

ไม่ใช่แค่ป้าติ๊บเท่านั้น แท้จริงแล้ว เกษตรกรและชาวบ้านหลายหมื่นคนในอำเภอชายแดนแห่งนี้และอีกหลายอำเภอในจังหวัดเชียงราย ที่ซึ่งแม่น้ำกก สาย รวก และแม่น้ำโขงไหลผ่าน กำลังรู้สึกไม่ต่างจากเธอ เนื่องจากความไม่แน่นอนในชีวิตกำลังทวีขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับความชัดเจน จนพวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า อะไรปลอดภัยสำหรับการบริโภค ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร และอื่นๆ

นับตั้งแต่ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ชาวบ้านเหล่านี้แทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษและการปนเปื้อนของสารพิษที่กำลังกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง เนื่องจากข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้มีเพียงเล็กน้อยและกระจัดกระจาย ในบางพื้นที่ เช่น ท่าตอน ชาวบ้านกำลังตั้งคำถามที่แหลมคมว่า มีการปกปิดข้อมูลหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับสุขภาพของพวกเขา

“ทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนบอกให้เรารอผลตรวจ แต่ผมยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากทางโรงพยาบาลเลย ไม่รู้ว่าจะทราบผลตรวจเมื่อไหร่ หรือว่าป่วยเป็นอะไร” ก๊อป โกฎคำ ชาวบ้านวัย 42 ปีในหย่อมบ้านแก่งทรายมูลของท่าตอนกล่าว เขาคือหนึ่งในชาวบ้านของหย่อมบ้านที่ได้รับการตรวจปัสสาวะหลังจากทำงานในน้ำเป็นเวลาหลายชั่วโมงเมื่อเดือนเมษายนเพื่อสร้างแพไม้ไผ่ให้นักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อหารายได้ แต่กลับมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง

ไม่นานหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ได้เริ่มการสอบสวนเรื่องนี้ โดยเริ่มจากเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กรมควบคุมมลพิษ พวกเขาได้จัดตั้งทีมเพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำตลอดแนวแม่น้ำกกที่มีความยาว 300 กิโลเมตร ก่อนที่จะขยายออกไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงแม่น้ำโขง หลังจากนั้น หน่วยงานส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ที่รับผิดชอบการใช้น้ำ การประมง การเกษตร และสาธารณสุข ก็ดำเนินการตามข้อสั่งการของหน่วยงานหลักของตนและรัฐบาล

แต่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่หลายคนที่เกี่ยวข้องระบุว่า แผนการติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนของสารพิษของพวกเขามีข้อจำกัด เนื่องจากถูกผูกติดกับงบประมาณประจำปี พวกเขากล่าวว่า งานบางส่วนต้องบูรณาการเข้ากับงานติดตามเฝ้าระวังตามปกติ

เจ้าหน้าที่เหล่านี้ยอมรับว่า งานของพวกเขาไม่ได้ครอบคลุมและสอดคล้องกันเท่าที่ควร ยกตัวอย่างเช่น การตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับปลาและพืชผลทางการเกษตรนั้น ดำเนินการกับตัวอย่างเพียงไม่กี่ตัวอย่างเนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ 

ในจังหวัดเชียงใหม่หรือริมแม่น้ำสายในจังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถกำหนดจุดเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำได้เพียงแห่งเดียวในแต่ละพื้นที่ แม้ว่าการเฝ้าระวังสารพิษอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีการวางแผนที่เป็นวิทยาศาสตร์ และสำหรับงานประมง ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีในการติดตาม เนื่องจากสารพิษเหล่านี้จะมีระยะเวลาในการสะสมในสัตว์น้ำและแสดงผลกระทบออกมา

จนถึงขณะนี้ การตรวจสอบและติดตามของเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ ยกเว้นจากสำนักงานฯ ที่ 1 พบว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน คือ ไม่พบสารพิษ หรือหากพบสารพิษ ก็จะพบในปริมาณที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ยกเว้นการตรวจสอบน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคล่าสุด ที่พบว่าน้ำในหมู่บ้านริมแม่น้ำกก 18 หมู่บ้าน มีการปนเปื้อนสารตะกั่วเกินมาตรฐาน เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ได้รับการเปิดเผยโดย ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ของพรรคประชาชน ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ซึ่งได้ติดตามเรื่องนี้เพื่อชี้แจงข้อกังวลของประชาชนต่อรัฐบาลอย่างใกล้ชิด

ผลการตรวจติดตามสุขภาพยิ่งมีความซับซ้อนมากไปกว่านั้น เนื่องจากผลการตรวจสอบสุขภาพประชาชนในกลุ่มเสี่ยงทั้ง 2 จังหวัดเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ยังไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ

ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามประเด็นนี้หลายรายตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่ได้รับการรวบรวมและบูรณาการเพื่อสร้างชุดข้อมูลที่มีความหนักแน่นน่าเชื่อถือและครอบคลุมเพียงพอที่จะช่วยให้รัฐบาลกำหนดนโยบายหรือแนวทางแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสม และเมื่อกล่าวถึงประเด็นการเผยแพร่ข้อมูลและการสื่อสารกับประชาชนแล้ว สิ่งเหล่านี้กลับไม่เพียงพอ เป็นไปอย่างจำกัด ขาดความต่อเนื่อง หรือเข้าถึงได้ยาก

ก๊อป ซึ่งยังคงรอผลตรวจสุขภาพอยู่ กล่าวได้แต่ว่า “พวกเขาแทบจะไม่บอกอะไรเราเลย ไม่บอกว่าเราป่วยหรือต้องทำอะไรต่อไป ทำให้เรากังวลไปเปล่าๆ”

ท่ามกลางความกังวลและความสับสนที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ชาวบ้านในพื้นที่ ผลกระทบจากสารพิษปนเปื้อนได้เริ่มปรากฏให้เห็นในหลายชุมชนริมฝั่งแม่น้ำแล้ว 

ในเวลานี้ ชาวบ้านพยายามที่จะอยู่ห่างจากแม่น้ำและจะไม่ลงสัมผัสน้ำโดยไม่จำเป็น ในพื้นที่แทบไม่มีการหาปลาในแม่น้ำมาหลายเดือนแล้ว ขณะที่กิจกรรมอื่นๆ ก็หยุดชะงัก รวมถึงการท่องเที่ยว หรือแม้แต่การจัดงานประเพณีอย่างสงกรานต์

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น “น้ำ” และ “ดิน” ที่ปลอดภัยดูเหมือนจะลดหายลงไปในทุกขณะ ทำให้ผู้คนต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการเสาะแสวงหาแหล่งน้ำและผืนดินที่พวกเขาสามารถเชื่อใจได้สำหรับใช้ในการดำรงชีวิตต่อๆ ไป …ด้วยความอ่อนล้าและความหวังที่คล้ายจะลางเลือนมากขึ้นทุกขณะเช่นกัน

ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในรูปแบบการ์ตูนได้ถูกเผยแพร่ไปยังประชาชนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ ชาวบ้านหลายคนตั้งคำถามว่า พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าแหล่งน้ำหรืออาหารของพวกเขาปลอดภัยหรือไม่
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
เด็กชายและยายของเขาในหย่อมบ้านแก่งทรายมูลในตำบลท่าตอน ถูกสุ่มเลือกให้ตรวจปัสสาวะหาสารพิษ โดยยายของเด็กเล่าว่า ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้เหตุผลว่าเหตุใดจึงเลือกพวกเขา ผลการตรวจสุขภาพของทั้งสองรายนี้พบว่า เด็กมีสารหนูในร่างกาย จึงได้รับตรวจปัสสาวะอีกครั้ง ครอบครัวกำลังรอผลการตรวจฯ โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเด็ก เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกอะไรพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำเพื่อสุขภาพ, คุณยายกล่าว
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มดำเนินการตรวจปัสสาวะประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ในวงกว้างเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยกลุ่มเสี่ยงซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำหรือเคยสัมผัสน้ำ ได้รับแบบฟอร์มประเมินความเสี่ยง ก่อนที่บางส่วนจะถูกเลือกมาเป็นกลุ่มตัวอย่างในการตรวจฯ เฉพาะในจังหวัดเชียงราย มีประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเป้าหมายกว่า 2,000 คน และมีการเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง 300 ตัวอย่าง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงประจำจังหวัดรายหนึ่งกล่าว อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจยังไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ ท่ามกลางรายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่ามีประชาชนอย่างน้อย 7 คนในจังหวัดเชียงรายมีปริมาณสารหนูเกินมาตรฐานในร่างกาย
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
ชาวบ้านแม่เมืองน้อยในตำบลแม่นาวางติดกับท่าตอน รู้สึกกังวลเกี่ยวกับน้ำในบ่อน้ำของเธอ เธอจึงนำน้ำไปให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานฯ ที่ 1 ช่วยตรวจสอบในการประชุมที่จัดขึ้นในชุมชน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานฯ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นๆ ได้เดินทางมาพบปะชาวบ้านเพื่อแจ้งผลการตรวจสอบการปนเปื้อนสารพิษของพวกเขา การประชุมเคลื่อนที่ดังกล่าว เป็นความพยายามของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่จะเข้าถึงชาวบ้าน หลังจากที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะแทบไม่มีใครมาพบเจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่ที่นั่น หรืออ่านผลการตรวจที่ติดอยู่บนกระดาน
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
ป้าติ๊บและกระเจี๊ยบเขียวที่เหลือของเธอซึ่งไม่สามารถขายได้อีกต่อไป เนื่องจากผลผลิตเหล่านั้นอ่อนแอและไม่มีราคาในตลาดหลังจากถูกน้ำท่วม ต้นกระเจี๊ยบพันธุ์พิเศษนี้สามารถสร้างรายได้เลี้ยงชีพให้เธอได้หลายพันถึงหลายหมื่นบาทในแต่ละฤดู เกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกริมแม่น้ำกกในชุมชนจะใช้ประโยชน์ โดยปลูกพืชสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเพื่อสร้างรายได้ อย่างไรก็ตาม ชีวิตเกษตกรของคนในชุมชนกำลังเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมลพิษและการปนเปื้อนที่กำลังจะมาถึง
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
เรือกสวนไร่นาริมแม่น้ำกกในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เกษตรกรที่เป็นเจ้าของไร่เหล่านี้ปลูกพืชหลากหลายชนิด ตั้งแต่พืชผักอายุสั้นต่างๆ ข้าว ไปจนถึงสวนผลไม้อย่างมะม่วงและส้ม พวกเขาพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำ บ่อน้ำตื้น และน้ำบาดาล แต่แหล่งน้ำของพวกเขากำลังถูกจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความกังวลต่อการปนเปื้อนของสารพิษที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
เรือกสวนไร่นาริมน้ำกกและบริเวณอื่นๆ ที่แม่น้ำกกไหลผ่าน เป็นพื้นที่ราบน้ำท่วมถึงตามธรรมชาติ ซึ่งจะถูกน้ำท่วมตามฤดูกาล แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านริมแม่น้ำกกกล่าวว่า สวนและนาของพวกเขาถูกน้ำโคลนท่วมทับ น้ำซึ่งเต็มไปด้วยโคลนและตะกอนทำให้คุณภาพของดินที่ถูกท่วมทับเสื่อมลง และเพิ่มภาระในการเคลียร์พื้นที่ที่เต็มไปด้วยโคลนสำหรับทำการเพาะปลูกในรอบถัดไป ส่วนในปีนี้ สารพิษเป็นสิ่งที่กำลังคุกคามไร่นาและสวนริมน้ำของพวกเขาซ้ำเติมเข้ามาอีก 
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
ลุงปฐมพงศ์ ฤทธิ์แผลง ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำฝายเชียงราย จังหวัดเชียงราย กำลังกังวลเกี่ยวกับฤดูกาลเพาะปลูกข้าวครั้งต่อไปและอนาคตของเกษตรกรในกลุ่มของเขา เนื่องจากพวกเขาต้องพึ่งพาน้ำจากประตูระบายน้ำ ซึ่งผันน้ำจากแม่น้ำกกมาใช้เพื่อการชลประทาน สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายระบุว่า มีเกษตรกรมากกว่า 7,000 ราย ปลูกข้าวในพื้นที่บริเวณริมน้ำกกในจังหวัดประมาณ 90,000 ไร่ นอกจากนี้ ยังมีเกษตรกรอีกกว่า 1,000 ราย ปลูกข้าวในพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ ริมฝั่งแม่น้ำสาย ซึ่งถูกตรวจพบการปนเปื้อนของพบสารพิษบางชนิดแล้วเช่นกัน 
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ตัวอย่างปลา รวมถึงปลาต่างถิ่น “ซักเกอร์” ที่หากินตามพื้นแม่น้ำ ถูกจับได้ในแม่น้ำสายก่อนส่งไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ประมงในพื้นที่ใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำจากข้อจำกัดในหลายๆ ปัจจัย เจ้าหน้าที่ยังพยายามกำหนดจุดเก็บตัวอย่างตามแม่น้ำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยขณะนี้มีทั้งหมด 21 จุด ในเชียงราย 20 จุด แต่เชียงใหม่มีเพียงจุดเดียว เจ้าหน้าที่กล่าวว่า การเฝ้าระวังสารพิษในสัตว์น้ำต้องใช้เวลา และจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบและงบประมาณที่เพียงพอ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีอยู่ในแผนงานและนโยบายของรัฐบาล ผลการตรวจสอบฯ ที่ผ่านมายังไม่พบสารพิษปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน แต่เจ้าหน้าที่ประมงในพื้นที่รับผิดชอบเลือกที่จะแจ้งชาวบ้านในพื้นที่ว่า “ปลาในแม่น้ำปลอดภัย แต่ไม่ควรบริโภค”
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ป้าละออศรี มาบางครู วัย 61 ปี เจ้าของร้านอาหารเก่าแก่ชื่อดังในท่าตอนชื่อ “จันทร์เกษม” เปิดมานานกว่า 40 ปี และเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่นักท่องเที่ยวต้องมาแวะเยือน ร้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ทำเลเหมาะสำหรับชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำกก แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมอยู่บ้าง แต่ป้าละออศรียืนยันว่า ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ร้านอาหารของเธอไม่เคยมีน้ำท่วมสูงเหมือนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา น้ำหลากกลายเป็นน้ำโคลนและไหลบ่าอย่างรุนแรง ในเดือนกันยายนปีที่แล้วน้ำท่วมซึ่งเกิดจากพายุไต้ฝุ่นยางิ ไหลบ่าเข้ามาและได้พัดพาร้านอาหารของเธอไปจนแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิม ป้าละออศรีจึงได้ปรับปรุงร้านอาหารของเธอใหม่ให้ทันสมัยขึ้น และหวังว่าลูกค้าจะกลับมาใช้บริการอีกครั้ง จนกระทั่งเดือนมีนาคมปีนี้ ที่ปัญหามลพิษได้เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนเริ่มหวาดกลัว ตั้งแต่นั้นมา จำนวนลูกค้าลดลงอย่างรวดเร็ว จากกว่าร้อยคนเหลือเพียงไม่กี่คนต่อวัน เธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่า การท่องเที่ยวในเมืองห่างไกลแห่งนี้จะกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งเมื่อใด
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในเดือนมีนาคม ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีชีวิตและอาชีพของพวกเขา ที่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ซึ่งเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงนิเวศยอดนิยมริมแม่น้ำกก ต.แม่ยาว จ.เชียงราย นักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ควาญช้างต้องดิ้นรนดูแลช้างของพวกเขาเอง ด้วยความไม่แน่ใจว่าอาหารและน้ำของช้างปลอดภัยหรือไม่ จนถึงขณะนี้ ควาญช้างตัดสินใจหยุดให้ช้างลงอาบน้ำในน้ำกกอย่างที่เคยเป็นมา เพราะกลัวว่าช้างจะป่วยจากมลพิษ พวกเขาลงทุนสร้างบ่อน้ำและระบบประปาภูเขาที่อยู่ไกลออกไป เพื่อให้มั่นใจว่าช้างของพวกเขาจะมีน้ำที่ปลอดภัยไว้ใช้
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ที่จังหวัดเชียงราย นักวิทยาศาสตร์ประจำการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายกำลังเร่งตรวจสอบตัวอย่างน้ำประปาของสำนักงานฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะนับตั้งแต่ปีที่แล้ว สำนักงานฯ ประปาเชียงรายตรวจพบระดับความขุ่นที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งยิ่งเพิ่มภาระในการรับรองคุณภาพน้ำประปาที่ปลอดภัยสำหรับประชาชน 
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายรับผิดชอบการผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่อาศัยอยู่ในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอเวียงชัย รวมกันประมาณ 40,000 ถึง 100,000 คน ด้วยที่ต้องใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกในกระบวนการผลิต ความขุ่นที่เพิ่มขึ้นและปัญหามลพิษจากสารพิษที่เกิดขึ้นในแม่น้ำ ทำให้สำนักงานฯ เกิดภาวะตึงตัว จากการต้องรับมือกับปัญหาเดิมในการจัดหาน้ำประปาให้เพียงพอแก่ประชาชนอยู่แล้ว ล่าสุด กปภ. ส่วนกลาง ได้ตัดสินใจจัดหาแหล่งน้ำใหม่ทดแทนแม่น้ำกก หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานฯ และภาคประชาสังคมในจังหวัดเชียงรายได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์
ทีมเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) เก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก ณ จุดแรก KK01 ซึ่งกำหนดไว้ให้ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมาโดยอยู่ห่างจากเส้นเขตแดนประมาณ 600 เมตร  
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ตัวอย่างน้ำจาก KK01 ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา 
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ทีมเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กรมควบคุมมลพิษ ยังคงเดินทางเก็บตัวอย่างน้ำในหลายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในแม่น้ำโขงที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร โดยจุดตรวจวัดฯ แรกใน่น้ำโขงถูกกำหนดใกล้กับบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นจุดที่พรมแดนของทั้งสามประเทศมาบรรจบกัน จุดตรวจวัดฯ​ นี้ถูกตั้งชื่อว่า MK01
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์