เจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)ได้เก็บตัวอย่างน้ำในเดือนสิงหาคม ณ จุด KK01 ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดกับชายแดนไทย-เมียนมา, ประมาณ 600 เมตร เลยออกไปเป็นพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกกในประเทศเมียนมา ซึ่งมีเหมืองทองคำและ “แร่หายาก” กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ และมีการปล่อยโลหะหนักที่เป็นพิษลงสู่แม่น้ำ ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

รายงานชุดพิเศษ: สายน้ำที่ปนเปื้อน: จากทองคำถึง “แร่หายาก”, เหมืองแร่ในเมียนมากำลังก่อมลพิษข้ามพรมแดนบนสายน้ำโขงและสาขา

การทำเหมืองที่ไร้การควบคุมในประเทศเมียนมากำลังขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง และสร้างมลพิษให้กับแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา ซึ่งรวมถึงสายน้ำสำคัญของชาวบ้านทางตอนเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย-รวก โดยไม่มีใครรู้ว่าจะจัดการกับสารพิษข้ามพรมแดนที่เป็นผลิตผลจากความต้องการแร่ล้ำค่าระดับโลกนี้อย่างไร

พระมหานิคม พระเถระอาวุโสผู้เป็นที่เคารพนับถือชองชาวบ้านท่าตอน เคยต่อสู้กับแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองเพราะประเทศไทยไม่เคยยอมรับในสัญชาติของท่านตั้งแต่แรกเกิด 

เนื่องจากตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ที่ท่านเกิดและเติบโตมา เป็นพื้นที่ชายแดนห่างไกลติดกับประเทศเมียนมา ชาวบ้านจากหลากหลายเชื้อชาติของที่นี่ จึงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพลเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน

ในวัย 61 ปี เจ้าอาวาสวัดภาวนานิมิตได้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เพื่อปกป้องมาตุภูมิที่ท่านเคยต่อสู้ด้วย และสิ่งที่ท่านกำลังต่อสู้ในขณะนี้คือ มลพิษข้ามพรมแดนจากสารพิษและการทำเหมืองที่ไร้การควบคุมในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกกในเมียนมา

“การได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชายแดนแบบนี้ ทำให้อาตมาผ่านอุปสรรคมามากมายและเข้าใจปัญหาที่นี่เป็นอย่างดี แต่สิ่งเหล่านี้สอนอาตมาอย่างหนึ่งว่า อย่าสิ้นหวัง เราต้องสร้างความหวังได้ด้วยตัวของเราเองและสานมันต่อไป แม้จะไม่มีใครอยู่เคียงข้างก็ตาม

“คนที่ต่อสู้กับปัญหานี้ร่วมกับอาตมาต่างบอกว่า พวกเขารู้สึกสิ้นหวังและหมดหวัง อาตมาจึงบอกพวกเขาว่า ถ้าเราสิ้นหวังเมื่อไหร่ เราก็แพ้ และแพ้ตั้งแต่วันนี้เลย” เจ้าอาวาสและผู้นำทางจิตวิญญาณของชุมชนท่าตอนกล่าว

พระมหานิคมในช่วงวัย 60 ของท่านแล้ว กลับต้องลุกขึ้นมานำชาวท่าตอนและผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไปต่อสู้กับการทำเหมืองแร่ทางต้นน้ำในเมียนมา
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

เจ้าอาวาสสูงวัยจากกลุ่มชาติพันธุ์ “ไทใหญ่” ยังคงจดจำได้อย่างแจ่มชัด เมื่อหวนนึกถึงวัยเด็กในผ้าเหลืองของท่านตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร และช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้ในวิถีอหิงสาเพื่อให้ประเทศไทยยอมรับสัญชาติของท่าน

เนื่องจากท่าตอนเป็นเพียงหมู่บ้านชายแดนที่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจ ชาวบ้านที่นั่นจึงมักไม่ได้ใส่ใจในความเป็นตัวตนและอัตลักษณ์ของตัวเองมากไปกว่าการหาเลี้ยงชีพ พวกเขาเคยหาเลี้ยงชีพไกลถึง 30 กิโลเมตรทางตอนเหนือของแม่น้ำใกล้เมืองยอน ในรัฐฉานของเมียนมาซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทและลาหู่ โดยจะขึ้นไปปลูกข้าว ผัก และอื่นๆ บนภูเขาในแถบนั้น

พระมหานิคมกล่าวว่า ประชาชนทั้งสองฝ่ายคบค้าสมาคมและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาหลายปี ความสัมพันธ์เริ่มตึงเครียดในระยะหลังๆ ไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์และการใช้ประโยชน์ที่ดิน

เมื่อครั้งยังเด็ก พระเถระอาวุโสท่านนี้ยังจำได้ว่า เคยเดินทางไปกับพ่อแม่เพื่อปลูกข้าวและผักบนที่ดินสองไร่ของครอบครัว ชาวท่าตอนมักจะสร้างเพิงพักชั่วคราวไว้คอยดูแลพืชผลทางการเกษตรเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นก็กลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ริมลำน้ำ

“ผู้คนที่นี่เดินขึ้นลงภูเขาและใช้ชีวิตอยู่กันสองฟากฝั่งของประเทศ ที่จริงแล้ว ที่ดินที่เราปลูกข้าวและผักนั้น เป็นที่ดินที่มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน จนกระทั่งกลุ่มชาติพันธุ์ว้าและกลุ่มติดอาวุธของพวกเขาย้ายลงมาที่เมืองยอน ที่ดินที่นั่นจึงถูกยึดครองและรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมียนมาในที่สุด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายใน 20-30 ปีที่ผ่านมานี่เอง” พระเถระอาวุโสกล่าว

ท่าตอน ชุมชนชายแดนติดกับประเทศเมียนมา ผสมผสานไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มานานหลายยุคหลายสมัย
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

เมื่อมีผู้คนหน้าใหม่เข้ามาตั้งถิ่นฐานมากขึ้นและเกิดความไม่มั่นคงในพื้นที่ ชาวท่าตอนจึงตัดสินใจย้ายลงมาจากภูเขาอย่างถาวร เพียงเพื่อพบว่าพวกเขาถูกเข้าใจผิดและถูกปฏิบัติเหมือน “คนไร้รัฐ” พระมหานิคมกล่าวว่า เจ้าหน้าที่อำเภอได้ออกบัตรคนเข้าเมืองให้พวกเขาในภายหลัง หรือบังคับเนรเทศพวกเขาหากปฏิเสธที่จะรับสิ่งเหล่านี้

จากข้อมูลของมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (HADF) ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตสมาชิกวุฒิสภา เตือนใจ ดีเทศน์ ระบุว่า ประชาชนในเขตพื้นที่กว่า 1,440 คน ตามบันทึกในช่วงต้นทศวรรษปี 2540 เป็นช่วงที่มีปัญหาเรื่องสัญชาติในพื้นที่มาก สมาชิกวุฒิสภาท่านนี้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญทางการเมืองที่ช่วยผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนเหล่านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพระมหานิคม

พระมหานิคมใช้เวลาต่อสู้กว่า 10 ปี เพื่อพิสูจน์ความเป็นชาวท่าตอนและความเป็นคนไทย ท่านต้องเดินทางไกลไปมาระหว่างท่าตอนอันห่างไกล ตัวอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และไกลถึงกรุงเทพฯ ตลอดช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวด เพื่อพิสูจน์และยืนยันว่าท่านเป็นพลเมืองไทย จนกระทั่งมีอายุได้ประมาณ 30 กว่าปี จึงได้รับบัตรประจำตัวประชาชนใบแรกและสัญชาติไทยในที่สุด

พระมหานิคมเล่าว่า ที่ดินของครอบครัวบริเวณต้นน้ำได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเมียนมา และถูกใช้ประโยชน์โดยทั้งรัฐบาลพม่าและกลุ่มกองกำลังติดอาวุธว้า พระมหานิคมกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ในที่ดินบริเวณต้นน้ำเกิดขึ้นอย่างมากในช่วง 20 ถึง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังจากการอพยพครั้งใหญ่ของชาวว้า

พระมหานิคมและเพื่อนพระภิกษุรูปอื่นๆ ขณะเดินทางไปปฏิบัติธรรมทางต้นน้ำในเมียนมาเมื่อหลายปีก่อน แม่น้ำกกดังที่เห็นในภาพ ยังคงใสสะอาดบริสุทธิ์
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

พื้นที่ป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลและบริเวณต้นน้ำกกในเมืองกกซึ่งอยู่ไกลจากเมืองยอนออกไป ถูกเปลี่ยนเป็นแปลงสัมปทานสำหรับการตัดไม้ และเมื่อมีการตัดต้นไม้และถางป่า ที่ดินเหล่านั้นก็ถูกเปลี่ยนเป็นสวนยางพาราในเวลาต่อมา

เพื่อที่จะปลูกยางพารา ชาวสวนจำเป็นต้องใช้สารเคมีทางการเกษตรในปริมาณมหาศาล จากนั้น สารเคมีเหล่านี้จะถูกชะล้างลงมาจากเนินเขาและไหลลงสู่แม่น้ำกก พระมหานิคมกล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ชาวท่าตอนประสบกับมลพิษจากพื้นที่ทางต้นน้ำในพมา่เนื่องจากพวกเขามีอาการผิดปกติหลังสัมผัสแม่น้ำ อาทิ อาการคันหรือมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง

จากนั้นมา คาสิโนและคอลเซ็นเตอร์ก็ผุดขึ้นที่นั่น อย่างไรก็ตาม เมื่อจีนปราบปรามกิจการเหล่านี้อย่างจริงจัง ธุรกิจเหมืองแร่จึงเริ่มเข้ามาแทนที่ และตั้งแต่นั้นมา มันก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่นี้ในช่วงสามถึงสี่ปีที่ผ่านมา จนถึงจุดที่พระมหานิคมในวัย 60 ปีกว่า ไม่สามารถนั่งสมาธิอยู่ในวัดได้อีกต่อไป แต่ต้องลุกขึ้นสู้อีกครั้ง คราวนี้ เพื่อปกป้องท่าตอน รวมถึงที่อื่นๆ ที่ไกลออกไป

ในเดือนมีนาคมปีนี้ พระมาหานิคมได้นำชาวบ้านท่าตอนเดินขบวนประท้วงการทำเหมืองในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำในเมียนมาเป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นขบวนการภาคประชาสังคมครั้งแรกๆ ที่สร้างความตระหนักและการรับรู้ให้กับสาธารณชนเกี่ยวกับปัญหานี้ และเป็นแรงผลักดันให้พื้นที่อื่นๆ รวมถึงจังหวัดเชียงรายที่อยู่ปลายน้ำ 

นับตั้งแต่นั้นมา ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนนี้ได้พัฒนาตัวขึ้นกลายเป็นความท้าทายในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติที่กำลังทดสอบไม่เพียงแต่รัฐบาลไทย แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เมียนมาและจีนด้วย

“อาตมาเคยเดินทางแสวงบุญทางต้นน้ำกกในเขตเมืองกก ห่างจากชุมชนของเราไปประมาณ 150 กิโลเมตร และได้เห็นเป็นประจักษ์พยานถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ แม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นไปอีกแล้วเนื่องจากความไม่มั่นคงในพื้นที่ ผืนดินเปลี่ยนไป ผู้คนที่เคยพบเจอก็เปลี่ยนไปเช่นกัน 

“แต่ดังที่อาตมาได้กล่าวไปแล้ว อย่าหมดหวัง ไม่ว่าเราจะกำลังเผชิญกับความยากลำบากใดๆ หากเราคิดว่านี่คือการต่อสู้ของเรา จงทำในสิ่งที่เราต้องทำ นั่นคือ สู้ต่อไป” พระเถระอาวุสโสผู้มากด้วยประสบการณ์และยังต่อสู้ด้วยความคิดอันลึกซึ้ง โดยเดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจแก่สาธารณชนเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านคำสอนทางธรรมะของท่านกล่าว

ทิวทัศน์ของแม่น้ำกกที่ไหลผ่านประเทศไทยจากรัฐฉานในประเทศเมียนมา เหนือขึ้นไป (มุมซ้ายของภาพ) คือพื้นที่ต้นน้ำของเมียนมาซึ่งมีเหมืองทองคำและแร่หายากที่กำลังผุดขึ้นในพื้นที่
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

โลหะพิษ

พระมหานิคมไม่รู้มาก่อนเช่นกันว่าสิ่งที่ท่านและชาวบ้านกำลังต่อสู้อยู่นั้นเป็นการต่อสู้ในประเด็นที่ยากจะต่อกร เพราะมันคือโลหะหนักที่เป็นพิษอย่างร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน, เกิดจากแหล่งที่มาที่ไม่ชัดเจน เนื่องจากมีแหล่งที่มาหลากหลาย, ในดินแดนที่ไม่มีอำนาจปกครองตนเองที่ชัดเจนหรือแม้กระทั่งถูกกฎหมาย, โดยคนบางกลุ่มที่ไม่มีความรับผิดชอบชัดเจนและสามารถยึดถือได้, และเป็นไปเพื่อแร่ที่มหาอำนาจของโลกต่างปรารถนา

กล่าวโดยสรุป ผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดที่ชัดเจนว่าควรพูดคุยเจรจากับใคร เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและยุติมลพิษอันเป็นพิษนี้

ภายหลังการรณรงค์ที่นำโดยผู้นำทางศาสนาอย่างพระมหานิคมและข้อร้องเรียนทางสุขภาพ เช่น การเกิดผื่นคันในหมู่เด็กที่ลงเล่นน้ำในแม่น้ำที่ท่าตอน ซึ่งกลายเป็นน้ำโคลนเกือบตลอดปี กรมควบคุมมลพิษจึงได้มอบหมายให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำและความเสี่ยงของการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำ

ปิยนุช ทรวงคำ ผู้อำนวยการส่วนการจัดการคุณภาพน้ำ อากาศ และเสียง ของสำนักงานฯ 1 เปิดเผยว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากสำนักงานฯ ไม่เคยดำเนินการที่ครอบคลุมเช่นนี้มาก่อน ในอดีต กรมควบคุมมลพิษ (PCD) ได้เฝ้าระวังตรวจสอบคุณภาพน้ำของแม่น้ำกกและโลหะหนักอีก 8 ชนิดที่ใช้เป็นพารามิเตอร์เป็นประจำปีละ 4 ครั้ง จากจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ 4 จุดที่กำหนดไว้ในแม่น้ำกกตอนล่าง จังหวัดเชียงราย 

แม่น้ำกกในประเทศไทยไหลผ่านท่าตอนในอำเภอแม่อายและแม่นาวาง จังหวัดเชียงใหม่ และอีกหลายอำเภอในจังหวัดเชียงราย ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย รวมระยะทางเกือบ 300 กิโลเมตร ส่วนที่อยู่เหนือน้ำมากที่สุดอยู่ใกล้ชายแดนไทย-พม่าที่อำเภอท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่

จากบันทึกของกรมควบคุมมลพิษในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กรมฯ​ เคยตรวจพบสารหนู (As) เกินค่ามาตรฐานเป็นครั้งแรก ณ บริเวณช่วงท้ายสุดใกล้แม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย ในปี พ.ศ. 2566-2567 โดยตรวจวัดได้ 0.025 และ 0.044 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ซึ่งโลหะหนักดังกล่าวไม่ได้อยู่ในกลุ่มโลหะหนัก 8 พารามิเตอร์ของทางกรมฯ แต่อย่างใด 

ค่ามาตรฐานความเข้มข้นสูงสุดของสารหนูที่ยอมรับได้ในน้ำดื่มที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) คือ 0.01 มก./ล. หรือ 10 ไมโครกรัมต่อลิตร (μg/L) หมายความว่า สารหนูที่ตรวจพบโดยกรมควบคุมมลพิษเกินเกณฑ์ของ WHO มากกว่าหนึ่งถึงสามเท่า

องค์การอนามัยโลกระบุว่า สารหนูมีปริมาณสูงตามธรรมชาติในน้ำใต้ดินของหลายประเทศ เนื่องจากเป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติของเปลือกโลก สารหนูมีพิษร้ายแรงในรูปแบบอนินทรีย์หรือไม่มีออกซิเจน และน้ำที่ปนเปื้อนสารหนูสำหรับการดื่ม ประกอบอาหาร และชลประทาน ถือเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนมากที่สุด

องค์การอนามัยโลกยังระบุเพิ่มเติมว่า การได้รับสารหนูจากน้ำดื่มและอาหารเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดมะเร็งและรอยโรคที่ผิวหนัง นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเบาหวานอีกด้วย นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังระบุว่า การได้รับสารหนูในครรภ์และในวัยเด็กตอนต้น มีความเชื่อมโยงกับผลกระทบด้านลบต่อพัฒนาการทางสติปัญญาและการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในผู้ใหญ่ตอนต้น

เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำในปีนี้เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ผอ.ปิยนุชจึงได้จัดตั้งทีมตรวจสอบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่จุดตรวจวัดฯ ใหม่สามแห่งในช่วงแม่น้ำที่ไหลผ่านเชียงใหม่ก่อน จากนั้น จึงขยายการตรวจสอบฯ ครอบคลุมสายน้ำทั้งหมด ตั้งแต่ท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีการกำหนดจุดตรวจวัดฯ ทั้งหมด 15 แห่งตามแนวแม่น้ำที่ไหลผ่านในประเทศไทยเพื่อเก็บตัวอย่าง จุดตรวจวัดฯ​ ที่ไกลที่สุดตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา คือที่ท่าตอน ซึ่งอยู่ห่างชายแดนประมาณ 600 เมตร มันถูกตั้งชื่อว่า KK01

ทีมตรวจสอบคุณภาพน้ำยังได้เพิ่มจุดตรวจวัดฯ อีกสี่จุดในแม่น้ำสาขาสี่สายของแม่น้ำกกเพื่อเปรียบเทียบผลการทดสอบกับแหล่งต้นน้ำภายในประเทศ และยังได้ขยายการตรวจสอบไปยังแม่น้ำสายอื่นๆ ที่มีแหล่งต้นน้ำในเมียนมาด้วย โดยกำหนดจุดตรวจวัดฯ เพิ่มอีกแปดจุดในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก รวมถึงแม่น้ำโขงในจุดใกล้เคียงกับน้ำไหลจากแม่น้ำดังกล่าว 

ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทีมงานได้ลงพื้นที่ตามจุดตรวจวัดต่างๆ ที่กำหนดไว้บนแม่น้ำและสาขาจำนวน 27 แห่ง เดือนละ 2 ครั้งเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำ และเดือนละ 1 ครั้งเพื่อเก็บตัวอย่างตะกอนดิน

ผอ.ปิยนุชนำทีมเก็บตัวอย่างน้ำ 27 จุด เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงและเฝ้าระวัง
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ผลการตรวจสอบฯ ครั้งแรกและครั้งที่สองที่ดำเนินการในช่วงปลายเดือนมีนาคมและเมษายนพบว่า สารหนูในน้ำที่จุดตรวจวัดฯ แรกของแม่น้ำกกใกล้ชายแดนมีค่าเกินมาตรฐาน โดยวัดได้ 0.026 และ 0.037 มก./ล. ตามลำดับ 

นอกจากนี้ ยังพบว่า สารหนูในตะกอนดินก็มีค่าเกินมาตรฐานในทั้งสามจุดตรวจวัดฯ ในจังหวัดเชียงใหม่ และบางจุดตรวจวัดฯ ท้ายน้ำของจังหวัดเชียงราย โดยตรวจวัดได้ 20-33 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งค่ามาตรฐานขั้นต่ำกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะถือว่าปลอดภัยต่อสัตว์น้ำ และค่ามาตรฐานเกิน 33 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะถือว่าเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและมนุษย์

และในการตรวจสอบฯ ครั้งที่ 1 นี้ ยังพบสารตะกั่ว (Pb) ซึ่งเป็น 1 ใน 8 พารามิเตอร์โลหะหนักในน้ำบริเวณแม่น้ำกกที่จุดตรวจวัดฯ แรกใกล้ชายแดนเช่นกัน โดยมีค่าวัดได้ 0.076 มก./ล. ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ 0.05 มก./ล.  

ในการตรวจสอบฯ ครั้งที่สอง ปริมาณสารหนูในแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงก็สูงเช่นกัน โดยทั้งสามจุดตรวจวัดฯ ในแม่น้ำสาย ตรวจพบสารหนูมีค่าเกินมาตรฐานระหว่าง 0.044-0.049 มก./ล. ขณะที่สองจุดตรวจวัดฯ ในแม่น้ำโขง ตรวจพบสารหนูระหว่าง 0.031-0.036 มก./ล. นอกจากนี้ ยังตรวจพบตะกั่วในแม่น้ำสาย โดยตรวจวัดได้ทั้งสามจุดในช่วง 0.058-0.066 มก./ล.

กราฟฟิค: Bangkok Tribune (แหล่งอ้างอิง: PCD)

ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 4 และการตรวจสอบคุณภาพตะกอนดินครั้งที่ 3 ซึ่งดำเนินการในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม พบว่า สารหนูในน้ำและตะกอนดินบนพื้นแม่น้ำมีค่าเกินมาตรฐานในทั้ง 23 จุดตรวจวัดฯ ของแม่น้ำสายหลักๆ ทั้งหมดเป็นครั้งแรก ซึ่งบ่งชี้ว่า สารหนูมีการปนเปื้อนเป็นวงกว้างไปตามแม่น้ำ

นอกจากนี้ ทีมงานได้เริ่มตรวจพบสารตะกั่วในตะกอนดินบนพื้นแม่น้ำกกอย่างน้อย 3 จุดตรวจวัดฯ และพบว่า ปริมาณตะกั่วมีค่าเกินมาตรฐานขั้นต่ำที่ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ยังตรวจพบแมงกานีส (Mn) ในน้ำในแม่น้ำสายเป็นครั้งแรก โดยวัดได้ระหว่าง 1.10-1.30 มก./ล. ในขณะที่ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 1.00 มก./ล.

จากผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 8 ซึ่งดำเนินการในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทีมงานตรวจพบปริมาณตะกั่วในระดับที่ผิดปกติในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแม่น้ำสาย ระดับตะกั่วสูงกว่ามาตรฐานมากกว่าสองเท่าเป็นครั้งแรก โดยวัดได้ระหว่าง 0.094-0.124 มก./ล. ขณะที่แมงกานีสก็ตรวจพบเช่นกัน

ผอ.ปิยนุชได้ตั้งข้อสังเกตของเธอจากผลการศึกษา ซึ่งพบว่าระดับสารหนูมีแนวโน้มสูงใกล้ชายแดนและลดลงเมื่ออยู่ห่างออกไป เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลในพื้นที่ของชาวท่าตอน ทีมงานจึงตั้งสมมติฐานว่า การทำเหมืองบริเวณต้นน้ำ น่าจะเป็นสาเหตุของการปนเปื้อนสารพิษของโลหะหนักเหล่านี้ทางบริเวณปลายน้ำ แม้ว่าจะไม่สามารถระบุประเภทของเหมืองที่บริเวณนั้นได้

ผอ.ปิยนุชยังกล่าวอีกว่า การตรวจพบตะกั่วและแมงกานีสเข้มข้นในการตรวจสอบฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ชี้ให้เห็นว่า อาจมีเหมืองประเภทใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ณ จุดนี้ ทีมของเธอยังไม่สามารถคาดการณ์แนวโน้มการปนเปื้อนได้ เนื่องจากเธอกล่าวว่า ยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น ฝนตกและน้ำท่วม ที่อาจส่งผลกระทบต่อการปรากฏของโลหะหนักเหล่านี้ ผอ.ปิยนุชกล่าวว่า ทีมต้องการเวลาเพิ่มเติมในการตรวจสอบเฝ้าระวังเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้

“โลหะหนักเหล่านี้มาพร้อมกับตะกอนสารแขวนลอยในน้ำ ดังนั้น การปรากฏของพวกมันจึงแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่วม เรายังไม่สามารถระบุได้ว่า พวกมันมีเพิ่มขึ้นหรือสถานการณ์แย่ลงหรือไม่ แต่สิ่งที่เราสามารถบอกได้คือ สารพิษเหล่านี้มีอยู่ในแม่น้ำและตะกอนดินของเราแล้ว และพวกมันยังปรากฏอย่างต่อเนื่อง” ผอ.ปิยนุชกล่าว

ประตูระบายน้ำเชียงราย (ฝายเชียงราย) บนแม่น้ำกก (KK10) ในจังหวัดเชียงราย ที่เจ้าหน้าที่ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่า มีส่วนสกัดกั้นตะกอนปนเปื้อนในแม่น้ำ และได้กลายเป็นต้นแบบของโครงการเขื่อนดักตะกอนของรัฐบาลที่พยายามจะใช้สกัดกั้นสารพิษเหล่านี้
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ผศ. ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำจากภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหนึ่งในคณะกรรมการที่รัฐบาลเคยแต่งตั้งขึ้นให้ศึกษาผลกระทบจากเหมืองทองคำขนาดใหญ่ต่อแหล่งน้ำใกล้เคียงในจังหวัดพิจิตร ได้อธิบายผลการศึกษาให้ Bangkok Tribune ฟังว่า คณะกรรมการพบโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในแหล่งน้ำใกล้เหมืองคล้ายกับที่พบในแม่น้ำทางภาคเหนือ ได้แก่ สารหนู ตะกั่ว และแมงกานีส 

นอกจากนี้ คณะกรรมการยังพบสารปรอท (Hg) และแคดเมียม (Cd) อยู่ด้วย สารทั้งสองชนิดนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโลหะหนัก 8 ชนิดที่ใช้เป็นพารามิเตอร์ของกรมควบคุมมลพิษ แต่ทีมตรวจสอบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำที่นำโดย ผอ.ปิยนุชยังไม่ตรวจพบว่าสารดังกล่าวมีค่าเกินมาตรฐานในแม่น้ำที่กำลังตรวจสอบ

ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า การพบโลหะหนักบางชนิดในแม่น้ำทางภาคเหนือ อาจบ่งชี้ว่าโลหะหนักเหล่านี้มาจากเหมืองทองคำทางบริเวณต้นน้ำ อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่าโลหะหนักเหล่านี้อาจมาจากเหมือง “แร่หายาก” (Rare Earth) ได้เช่นกัน ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อดูองค์ประกอบของโลหะหนักที่ออกมาจากเหมืองชนิดนี้เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง 

ดร.สิตางศุ์กล่าวว่า โลหะหนักเหล่านี้อาจไม่ได้ถูกปล่อยออกมาโดยตรงจากการขุดแร่ แต่อาจถูกรบกวนจากกระบวนการโดยอ้อมและเล็ดลอดออกมาจากพื้นโลกเนื่องจากเป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติอยู่แล้ว

จนถึงขณะนี้ การตรวจสอบล่าสุดโดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ แสดงให้เห็นว่ามีแพลเลเดียม (Palladium) อยู่ในปลาจากแม่น้ำสายหนึ่ง ดร.สิตางค์กล่าวว่า แร่ชนิดนี้เป็นโลหะมีค่าในเปลือกโลกซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่หายาก เธอกล่าวเสริมว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อช่วยระบุเหมืองที่อยู่เหนือน้ำด้วยเช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำรายนี้กล่าวว่า การรวบรวมข้อมูลและการสร้างองค์ความรู้สำหรับประเด็นนี้ในปัจจุบันยังไม่เข้มแข็งมากพอ เนื่องจากยังไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมพอที่จะช่วยกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและนโยบายที่เหมาะสม

ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบฯ ของ คพ. ไม่สามารถแยกแยะประเภทของสารหนูในแม่น้ำได้ เพราะสารหนูสามารถมีรูปแบบที่หลากหลาย และสามารถเปลี่ยนจากรูปแบบที่ไม่เป็นอันตรายเป็นรูปแบบที่เป็นอันตรายได้ ขึ้นอยู่กับระดับออกซิเจนที่ดูดซับเข้าไป

เมื่อรัฐบาลมีแนวคิดที่จะสร้างเขื่อนดักตะกอนหลายเขื่อนต่อกันเพื่อดักจับตะกอนและโลหะหนักโดยเฉพาะสารหนู มันสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสารเหล่านี้และคุณสมบัติของสารเหล่านี้เพียงพอ

ดร. สิตางศุ์กล่าวว่า เขื่อนเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อสกัดกั้นตะกอนและโลหะหนัก แต่แค่สำหรับสารหนูเพียงอย่างเดียว เมื่อตกตะกอนลงสู่พื้นแม่น้ำ สารหนูจะขาดออกซิเจนและจะกลายเป็นสารอันตรายแทน

“มันเหมือนกับว่าเรากำลังแก้ปัญหาโดยปราศจากความรู้ ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักมันดีพอ เราไม่มีทางหาทางออกที่เหมาะสมได้

“จนถึงตอนนี้ ดิฉันยังไม่เห็นว่าเรากำลังใช้ความรู้โดยเฉพาะความรู้วิทยาศาสตร์เพื่อช่วยแก้ปัญหานี้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันเป็นวิทยาศาสตร์ ตราบใดที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับสารเหล่านี้และแหล่งกำเนิดของมันว่ามันมาจากไหน เหมืองใดที่ผลิตและปล่อยพวกมันลงสู่แม่น้ำ ฯลฯ เราก็จะไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้

“ประเด็นคือ ดิฉันกำลังพูดถึงแค่สารหนูอย่างเดียว ยังไม่ได้พูดถึงโลหะหนักอื่นๆ อีกหลายชนิด รวมถึงปฏิกิริยาระหว่างโลหะหนักเหล่านี้ และยังไม่ได้พูดถึงการปนเปื้อนของโลหะหนักเหล่านี้ในห่วงโซ่อาหารและอื่นๆ อีกมาก วิธีหนึ่งอาจได้ผลดีกับโลหะหนักชนิดหนึ่ง แต่ใช้ไม่ได้ผลกับโลหะหนักชนิดอื่นๆ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปหากวิธีการที่ทำไปล้มเหลว? 

“เราจำเป็นต้องรู้ให้มากกว่าที่เรารู้ตอนนี้ เพื่อที่เราจะได้คิดหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมในการรับมือกับมัน” ดร. สิตางศุ์ กล่าว

ตัวอย่างน้ำที่เก็บจากจุดตรวจวัดฯ KK01 ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา ในเดือนสิงหาคม
ภาพ: สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ทองคำหรือ “แร่หายาก”?

ในช่วงกลางเดือนมีนาคม มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF) ซึ่งส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในรัฐฉานตั้งแต่ปี 2533 (1990) ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำเหมืองทองคำบริเวณต้นน้ำในเมืองยอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มูลนิธิฯ กล่าวว่า อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (UWSA)

มูลนิธิฯ ระบุว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา มีการทำเหมืองทองคำขนาดใหญ่ริมแม่น้ำกกในเมืองยอน อย่างไรก็ตาม มูลนิธิฯ ไม่ได้ระบุว่า หมืองมีจำนวนมากเท่าใดที่นั่น มูลนิธิฯ อ้างว่า การทำเหมืองทำให้ความเสียหายจากน้ำท่วมในเดือนกันยายนปีที่แล้วรุนแรงขึ้น และเปิดเผยต่อว่า หมู่บ้านเป็งคำของชาวไทใหญ่ในเขตเมืองยอนจมอยู่ใต้น้ำที่เต็มไปด้วยโคลน มูลนิธิฯ ยังเชื่อว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หมู่บ้านท่าตอนและหมู่บ้านอื่นๆ ริมแม่น้ำกกที่อยู่ตอนล่างได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน

มูลนิธิฯ​ ไทใหญ่ ระบุระหว่างการเปิดเผยข้อเท็จจริงในเดือนมีนาคมนั้นว่า การทำเหมืองทองคำในเมืองยอนได้ขยายตัวในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาโดยอ้างข้อมูลของชาวบ้านในพื้นที่ว่า มีการทำเหมืองตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีคนงานมากกว่า 300 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนทำงานอยู่ที่นั่นและมีบริษัทจีนบางแห่งดำเนินการอยู่

มูลนิธิฯ กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่หวาดกลัวเกินกว่าจะใช้น้ำเพื่อการบริโภคในครัวเรือน และมีปลาเหลือในแม่น้ำเพียงเล็กน้อยเนื่องจากสารตกค้างจากการทำเหมืองรวมถึงสารเคมีสกัดทองคำที่มีพิษ เช่น ไซยาไนด์ ที่ไหลลงสู่แม่น้ำโดยตรง

 ขอบคุณภาพจาก ©มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF)

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ตรวจสอบการเปิดหน้าดินบริเวณต้นน้ำในเมียนมาโดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและได้ทราบถึงกิจกรรมดังกล่าวในหลายพื้นที่ ซึ่งภาพหนึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาพที่มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่เคยนำมาเผยแพร่ แต่ทางสำนักงานฯ ไม่ได้เปิดเผยว่ามีเหมืองในบริเวณดังกล่าวอยู่กี่แห่ง

ผลการตรวจสอบของสำนักงานฯ ได้ถูกนำเสนอต่อคณะกรรมการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้เริ่มดำเนินการสอบสวนกรณีดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ไม่กี่เดือนต่อมา มูลนิธิฯ ได้เปิดเผยอีกครั้งถึงกิจกรรมการทำเหมืองใกล้บริเวณพื้นที่เดิมที่ถูกอ้างว่าเป็นเหมืองทองคำ ครั้งนี้ ดูเหมือนว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับแร่หายาก เนื่องจากมูลนิธิฯ ได้เปรียบเทียบโครงสร้างเหมืองจากภาพถ่ายดาวเทียมกับเหมืองหายากบางแห่งในรัฐคะฉิ่น 

เหมืองดังกล่าวมีอยู่สองแห่ง ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา เหนือท่าตอนไม่เกิน 25 กิโลเมตร มูลนิธิฯ อ้างว่า เหมืองแร่หายากสองแห่งนี้ ได้รับการพัฒนาในพื้นที่ในช่วงกลางปี ​2566 และกลางปี 2567 โดยเปรียบเทียบจากภาพถ่ายดาวเทียมในอดีต

ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้เหมืองแร่หายากในรัฐคะฉิ่น ได้มีการบันทึกและรายงานเป็นที่ประจักษ์แล้ว อาทิ การชะล้างใต้ดินทำให้เกิดการพังทลายของดิน ทำลายดินและน้ำผิวดิน ส่งผลให้ปลาและสัตว์ตาย และปนเปื้อนพืชผล

“เหมืองแร่หายากในเมืองยอนนี้น่าจะปล่อยสารอันตรายลงในแม่น้ำกกแล้ว ส่งผลให้การปนเปื้อนจากการทำเหมืองทองคำที่มีอยู่เดิมเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามสุขภาพของชุมชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำทางตอนใต้ของรัฐฉานและทางภาคเหนือของประเทศไทย” มูลนิธิฯ กล่าว

Stimson Center องค์กรซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อส่งเสริมความมั่นคงระหว่างประเทศผ่านการวิจัยและนโยบาย ได้รวบรวมข้อมูลและตรวจสอบยืนยันข้อเท็จจริงภาคพื้นดิน รวมถึงข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่โดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและห้องปฏิบัติการขั้นสูง โครงการเกี่ยวกับการสร้างภาพและวิเคราะห์การทำเหมืองแร่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นโครงการใหม่ จะสำรวจเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงทั้งหมดด้วยและแบ่งปันข้อมูลกับสาธารณะที่นี่ โดยเริ่มจากเหมือง “แร่หายาก” (Rare Earth) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

Rare Earth Mining in Mainland Southeast Asia — River Basins Dashboard
ขอบคุณภาพจาก ©Stimson Center

Stimson Center ระบุว่า การทำเหมืองแร่หายากแบบไร้การควบคุมเริ่มต้นขึ้นในลุ่มน้ำของเมียนมา และต่อมาได้ขยายตัวไปทางประเทศลาว ซึ่งกิจกรรมเหมืองดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา

Brian Eyler ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโครงการพลังงาน น้ำ และความยั่งยืนขององค์กร ซึ่งเป็นหัวหน้าของโครงการใหม่นี้ ได้ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงจาก “Planet Labs” และสามารถระบุและตรวจสอบยืนยันเหมืองแร่หายาก 60 แห่งในส่วนของเมียนมาได้สำเร็จ

บนแม่น้ำโหลยในรัฐว้า ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำโขงที่มีความยาว 200 กิโลเมตร ทีมตรวจสอบพบว่า มีการทำเหมืองแร่หายากที่มากที่สุด โดยมีเหมืองแร่หายาก 31 แห่งทางต้นน้ำแม่น้ำโหลย และเหมืองแร่หายากอีก 26 แห่งในเขตกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (NDAA หรือกองทัพเมืองลา) ที่อยู่ทางตอนล่างของแม่น้ำ

แม่น้ำโหลยไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่เมืองสบโหลย ชายแดนเมียนมา-ลาว ห่างจากตัวเมืองเชียงรายไปทางเหนือประมาณ 150 กิโลเมตร

ตามรายงานของมูลนิธิฯ ไทใหญ่ ซึ่งได้ทำการตรวจสอบกิจกรรมดังกล่าวในพื้นที่ก่อนหน้านี้ระบุว่า ยังมีการทำเหมืองประเภทอื่นๆ เกิดขึ้นตามแนวแม่น้ำโหลยด้วย รวมถึงเหมืองแมงกานีส

ในปี 2549 มูลนิธิฯ ระบุว่า องค์กรเพื่อการพัฒนาแห่งชาติชาวละหู่ (LNDO) ได้เปิดโปงว่าการทำเหมืองแมงกานีสในพื้นที่นี้ ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของหมู่บ้านบนเนินเขาสองแห่งที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของบางกลุ่มชาติพันธุ์ มีรายงานว่ามีคนงานเหมืองชาวจีนกว่า 1,000 คนทำงานอยู่ที่นั่น

มูลนิธิฯ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การทำเหมืองแมงกานีสได้ขยายตัวในพื้นที่นี้อย่างมาก โดยมีน้ำไหลบ่าลงไปทางทิศใต้สู่แม่น้ำโหลย

ตำแหน่งของเหมืองและแม่น้ำที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ขอบคุณภาพจาก ©Stimson Center

ภาพถ่ายดาวเทียมของ Stimson Center ยังแสดงให้เห็นข้อเท็จจริงอันน่าตื่นตะลึงที่ยืนยันการค้นพบของมูลนิธิฯ​ ไทใหญ่บนแม่น้ำกก โดยทีมตรวจสอบของ Eyler พบว่า มีเหมืองแร่หายากสามแห่งที่ดำเนินการอยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำกก โดยอย่างน้อยสองแห่งน่าจะกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา

ในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ทีมตรวจสอบของเขายังพบเหมืองแร่หายากอยู่หนึ่งแห่งที่ต้นน้ำของแม่น้ำสาย นอกจากนี้ ยังพบเหมืองทองคำอย่างน้อยเก้าแห่ง และอีกห้าแห่งที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาตามแนวแม่น้ำ

ในลาว ทีมตรวจสอบของ Eyler ยังค้นพบเหมืองหายากอีก 15 แห่งบนแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง ได้แก่ บนแม่น้ำคาน 3 แห่ง และบนแม่น้ำเงี๊ยบ  12 แห่ง ทีมตรวจสอบได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่า ชุมชนทั้งหมดที่ตั้งอยู่ท้ายน้ำจากเหมืองในแขวงหัวพัน ประเทศลาว ไม่สามารถใช้น้ำจากแม่น้ำโขงเพื่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันหรือทำประมงได้ แม่น้ำเหล่านี้ในแขวงหัวพันไม่ได้อยู่ในลุ่มแม่น้ำโขง แต่ไหลลงสู่จังหวัดทางตอนกลางของเวียดนาม, ทีมฯ ระบุ

เหมืองแร่หายากที่อยู่ปลายน้ำที่สุด ตั้งอยู่บนแม่น้ำเงี้ยบในภาคกลางของลาว ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงสายหลักห่างจากกัมพูชาไปทางเหนือประมาณ 300 กิโลเมตร และกิจกรรมการทำเหมืองอื่นๆ นอกเหนือจากแร่หายากก็เริ่มปรากฏให้เห็นตามแม่น้ำทางตอนใต้ของลาว แม้กระทั่งบริเวณที่ใกล้กับกัมพูชามากขึ้น 

“สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า แม่น้ำสายหลักของกัมพูชาและอาจรวมถึงโตนเลสาบ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วเป็นแหล่งผลิตโปรตีนถึงร้อยละ 70 ให้ประชากรกัมพูชา กำลังประสบกับการปนเปื้อนในระดับหนึ่งแล้ว” Eyler ได้แสดงความคิดเห็นที่แหลมคมเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งที่เรียกว่า  “ครรภ์ของแม่น้ำโขง”

ภาพถ่ายล่าสุดของเหมืองบางแห่งบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำสายในเมียนมา ซึ่งถ่ายโดยทีมข่าวของสำนักข่าวชายขอบ แสดงให้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ขอบคุณภาพจาก ©Transborder News

แรงขับของมหาอำนาจ

จากรายงานขององค์กรที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง รวมถึงสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ระบุว่า เมียนมาเป็นหนึ่งในผู้ผลิตแร่รายใหญ่ที่สุดของโลก และได้ดำเนินธุรกิจเหมืองแร่กับจีนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่หายาก (Rare Earths)

แร่กลุ่มนี้ประกอบด้วยธาตุโลหะ 17 ชนิดที่มีคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และแม่เหล็กที่แตกต่างกัน จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากทั่วโลกสำหรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด แหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น กังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และงานทางการทหารและการป้องกันประเทศ

ในรายงานแร่ประจำปี 2020–2021 ของ USGS ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ระบุว่าในปี 2563 (2020) ก่อนการรัฐประหาร “พม่า” เป็นผู้ผลิตแร่หายากอันดับ 3 ของโลก คิดเป็น 13% ของผลิตผลทั่วโลก, ผู้ผลิตดีบุกอันดับ 3 คิดเป็น 11% ของผลิตผลทั่วโลกและ 14% ของปริมาณสำรองทั่วโลก, และผู้ผลิตแมงกานีสอันดับที่ 11 คิดเป็น 1.3% ของผลิตผลทั่วโลก

ตามข้อมูลของหน่วยงานของสหรัฐฯ​ นี้ ประเทศเมียนมายังผลิตสินค้าแร่ชนิดอื่นๆ อีกด้วย ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ถ่านหิน ทองแดง เฟอร์โรอัลลอยด์ ฟลูออร์สปาร์ หยก ตะกั่ว ก๊าซธรรมชาติ นิกเกิล ไนโตรเจน น้ำมันดิบและปิโตรเลียมบริสุทธิ์ เหล็กกล้า กำมะถัน ทังสเตน และสังกะสี 

USGS ระบุว่าการผลิตแร่หายากในเมียนมาเพิ่มขึ้นจากประมาณ 29,000 ตันในปี 2562 เป็นประมาณ 35,500 ตันในปี 2563 (22%) และจีนเป็นประเทศที่นำเข้าสารประกอบแร่หายากทั้งหมด (ทั้งออกไซด์ของแร่หายากที่ไม่ได้ระบุชนิดและคาร์บอเนตของแร่หายากแบบผสม) ที่ผลิตในพม่าตลอดทั้งปี การส่งออกของพม่าคิดเป็น 74.4% ของการนำเข้าสารประกอบแร่หายากทั้งหมดของจีน และคิดเป็นประมาณ 50% ของวัตถุดิบสำหรับแร่หายากชนิดหนัก (HREE) หน่วยงานฯ USGS ระบุ

ในปี 2564 หน่วยงานฯ USGS ประมาณการว่า การผลิตแร่นี้อยู่ที่ประมาณ 34,700 ตัน และการนำเข้าของจีนคิดเป็น 75.6% ของการนำเข้าทั้งหมดในแง่ของปริมาณ เมื่อเทียบกับ 74.4% ในปี 2563 และ 70% ในปี 2562 

USGS ยังระบุถึงแนวโน้มใหม่ของการผลิตแร่หายากที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกองกำลังหรือองค์กรติดอาวุธที่ไม่มีสถานะเป็นรัฐในเมียนมาว่า “นับตั้งแต่การรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ เหมืองแร่หายากประมาณ 100 แห่งได้เริ่มดำเนินการใหม่ในเมืองชิปเว ปางวา และซัมเนา ทางตอนเหนือของรัฐคะฉิ่น ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนจีน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างไกล ไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโควิด-19 และอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกลุ่มทหาร จึงไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการรัฐประหาร”

Global Witness ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนที่ไม่แสวงหากำไรผ่านงานสืบสวนและการให้ข้อแนะนำเชิงนโยบาย กล่าวถึงการสืบสวนขององค์กรล่าสุดเกี่ยวกับการผลิตแร่หายากในเมียนมา ซึ่งเปิดเผยเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วเช่นกัน โดยยืนยันถึงการแพร่กระจายของการผลิตแร่หายากในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้กลุ่มกองกำลังและองค์กรติดอาวุธเหล่านี้โดยเฉพาะในรัฐคะฉิ่น

ตามรายงานของ Global Witness ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรแห่งประเทศจีน ระบุว่า การนำเข้าออกไซด์แร่หายากหนักของจีนจากเมียนมาพุ่งสูงขึ้นจากระดับสูงสุดครั้งก่อนในปี 2564 เป็น 41,700 ตันในปี 2566 ซึ่งมากกว่าโควตาการขุดแร่หายากหนักในประเทศของจีนถึงสองเท่า, องค์กรฯ ระบุ

“นับตั้งแต่ปี 2564 การขุดแร่นี้ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้บริบทของระบอบที่กุมอำนาจเด็ดขาดและความขัดแย้งในหมู่ประชาชนที่ขยายตัว การขุดแร่ส่วนใหญ่ของประเทศนั้นผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ซึ่งควบคุมโดยกองกำลังติดอาวุธนอกกฎหมายที่สนับสนุนโดยกองทัพ ซึ่งจากแหล่งข่าวชาวคะฉิ่นระบุว่า ไม่มีกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรฐานการทำเหมือง” Global Witness กล่าว

การผลิตแร่หายากในพื้นที่ดังกล่าว ได้สร้างแนวโน้มการทำลายล้างรูปแบบใหม่ โดยเหมืองเก่าที่เสื่อมโทรมหรือทรุดโทรมจะถูกทิ้งร้างและการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงจะถูกละทิ้งไว้เบื้องหลัง ขณะเดียวกัน คนทำเหมืองก็จะย้ายไปยังพื้นที่ใหม่เพื่อสร้างเหมืองแห่งใหม่แทน

เหมืองในเขตพิเศษคะฉิ่น 1 ในปี 2564 และ 2566 (จากซ้ายไปขวา) และในเมืองโมเมาก์ (ด้านล่าง) ในปี 2564 และ 2566 ซึ่งตรวจพบโดย Global Witness ขอบคุณภาพจาก ©Global Witness


จากข้อมูลขององค์กร Global Witness แร่หายากชนิดหนักส่วนใหญ่จากเมียนมามีต้นกำเนิดมาจากรัฐนี้ การตรวจสอบขององค์กรฯ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มดังกล่าวระหว่างพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกองกำลังและองค์กรติดอาวุธต่างๆ 

Global Witness ระบุว่า ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า จำนวนแหล่งทำเหมืองแร่หายากในเขตพิเศษคะฉิ่น 1 ซึ่งควบคุมโดยกองกำลังติดอาวุธที่ฝักใฝ่กับผู้ปกครองทางทหารของเมียนมา เพิ่มขึ้นมากกว่า 40% ระหว่างปี 2564 ถึง 2566 โดยมีจำนวนมากกว่า 300 แห่ง (357 แห่ง ตามข้อมูลของสถาบันยุทธศาสตร์และนโยบาย – เมียนมา) 

เหตุการณ์นี้ทำให้ภูมิประเทศรอบเมืองชายแดนปางวา “อิ่มตัว” และเมื่อเหมืองนี้ขยายไปจนถึงขีดจำกัด พื้นที่ใหม่ๆ ของรัฐคะฉิ่นก็เริ่มตกอยู่ภายใต้การคุกคาม, องค์กรฯ ระบุ

เมื่อเคลื่อนลงไปทางใต้ราว 160 กิโลเมตร จากภาพถ่ายดาวเทียมขององค์กรฯ​ ยังแสดงให้เห็นว่าเหมืองหายากกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในเมืองโมเมาก์ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธอีกกลุ่มหนึ่งคือ องค์กรเอกราชคะฉิ่น (KIO) ในปี 2564 ภูมิภาคนี้มีเหมืองเพียง 9 แห่ง แต่ภายในสิ้นปี 2566 จำนวนเหมืองได้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 40 แห่ง, องค์กรที่เชี่ยวชาญงานสืบสวนนี้ระบุ

ในขณะเดียวกัน สารเคมีจำนวนมหาศาลที่ใช้ในกระบวนการทำเหมืองก็มาจากจีน ในประเทศจีนเทคนิคที่เรียกว่าการชะล้างในแหล่งแร่ (in-situ leaching) ซึ่งเป็นการฉีดน้ำที่ผสมกับสารเคมีลงในดินเพื่อชะแร่ออกจากภูเขาก่อนที่จะระบายตะกอนลงในแอ่งน้ำเพื่อช้อนตักแร่ มีรายงานอย่างกว้างขวางว่ามันก่อให้เกิดมลพิษต่อแหล่งน้ำและพื้นที่เพาะปลูกในประเทศ 

แม้ว่าจะยังคงได้รับอนุญาตในประเทศจีน แต่ปัจจุบันการผลิตแร่ดังกล่าวในจีนอยู่ภายใต้การควบคุมโควตาการผลิตอย่างเป็นทางการ ชุดมาตรฐานที่เข้มงวด และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่องค์กร Global Witness ระบุว่า “ดูเหมือนจะไม่มีกฎระเบียบดังกล่าวบังคับใช้ในเมียนมา

ตามข้อมูลการค้าที่องค์กรฯ อ้างอิง ระบุไว้ว่า แอมโมเนียมซัลเฟตมากถึง 1.5 ล้านตันถูกส่งออกจากจีนไปยังเมียนมาในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 93,000 ตันในปี 2558 สารเคมีอีกชนิดหนึ่งคือกรดออกซาลิก ซึ่งใช้แยกแร่หายากหลังการชะล้างจากภูเขาแล้ว ก็ถูกนำเข้ามายังเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณเช่นกัน จาก 342 ตันในปี 2558 เป็น 174,000 ตันในปี 2566

ตรงกันข้ามกับการขยายตัวของธุรกิจ ทั่วทั้งรัฐคะฉิ่นกลับต้องเผชิญกับการทำลายสิ่งแวดล้อม ดังที่ปรากฏในภาพถ่ายเหมืองร้างบางภาพของ Global Witness ข้อมูลการเก็บตัวอย่างน้ำล่าสุดที่องค์กรฯ อ้างถึง ยังแสดงให้เห็นว่าลำธารหลายสายในเขตปกครองพิเศษคะฉิ่น 1 มีความเป็นกรดสูงและมีปริมาณสารหนูสูง 

ในขณะเดียวกัน คนงานที่องค์กรฯ สัมภาษณ์ ต่างบ่นว่ามีปัญหาด้านสุขภาพต่างๆ ตั้งแต่อาการไอ อาการชา ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และปัญหาทางไต ซึ่งทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพจากสารเคมีผสมที่ใช้ในเหมือง, องค์กรฯ ระบุ

ภาพถ่ายขององค์กร Global Witness แสดงให้เห็นแหล่งสกัดแร่หายากแห่งหนึ่งในรัฐคะฉิ่น ขอบคุณภาพจาก ©Global Witness

ณ จุดนี้ ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าการขยายตัวของเหมืองแร่หายากในรัฐว้าและรัฐฉานตามที่ได้รับการยืนยันและรายงานโดย Stimson Center มีลักษณะเดียวกันกับการทำเหมืองในรัฐคะฉิ่นหรือไม่ แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ท้ายน้ำ เริ่มรู้สึกถึงความเสี่ยงและผลกระทบต่อสุขภาพ รวมทั้งผู้คนในท่าตอนและพื้นที่ห่างไกลออกไปในประเทศไทยด้วย

ในเวลาเดียวกัน มูลค่าการค้าแร่หายากของเมียนมาก็พุ่งสูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงหลังรัฐประหารระหว่างปี 2564 ถึง 2567, ซึ่งคิดเป็น 84% ของมูลค่ารวมที่บันทึกไว้ในช่วงแปดปีระหว่างปี 2560-2567, ข้อมูลของ ISP – Myanmar ระบุ 

ปีที่มีการส่งออกสูงสุดคือปี 2566 ซึ่งมีมูลค่าถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายกิจกรรมการทำเหมืองในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง โดยเฉพาะในรัฐคะฉิ่น, ISP – Myanmar ซึ่งค้นพบข้อเท็จจริงที่คล้ายคลึงกับ Global Witness เช่นกันกล่าว

“ภาพถ่ายดาวเทียมยืนยันถึงการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของกิจกรรมการทำเหมืองที่ผิดกฎหมายและไม่ได้รับการควบคุม ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพและกุล่มองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ (EAO) ส่งผลให้ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมรุนแรงขึ้น” ISP – Myanmar ระบุไว้ในรายงานฉบับล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ เรื่อง Unearthing the Cost: Rare Earth Mining in Myanmar’s War-Torn Regions

เป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า รายได้จำนวนมากถูกส่งคืนให้กับกลุ่มกองกำลังหรือองค์กรติดอาวุธต่างๆ เหล่านี้ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและความมั่นคงในเขตปกครองของพวกเขา 

ตามที่ Amara Thiha นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านสันติภาพของ Stimson Center ได้วิเคราะห์ไว้ในบทความเรื่อง Rare Earths and Realpolitik: Kachin Control, Chinese Calculus, and the Future of Mediation in Myanmar ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนมิถุนายนของปีนี้ การขุดทรัพยากรและการควบคุมทรัพยากรเหล่านี้โดยเฉพาะแร่หายาก ได้เพิ่มอำนาจและความชอบธรรมของกลุ่มและองค์กรที่ไม่มีสถานะเป็นรัฐเหล่านี้ในทางการทูตและทางการเมือง

ผู้เขียนได้อ้างอิงถึงกรณีที่กองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) ควบคุมเหมืองแร่หายากในเมืองชิปเวและปางวาในรัฐคะฉิ่น โดยระบุว่า การควบคุมทรัพยากรในพื้นที่ดังกล่าว ได้กำหนดบทบาทเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มขึ้นใหม่ โดยไม่ได้เป็นเพียง “กลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่ยึดครองดินแดน” อีกต่อไป KIA ปกครองพื้นที่ทรัพยากรสำคัญ บริหารจัดการภาษีส่งออก และเจรจาโดยตรงกับมหาอำนาจในภูมิภาคม, เขากล่าว

และนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด, เขากล่าวเสริม หลังจากการหยุดยิงกับรัฐบาลทหารในปี 2537 (1994) KIA ได้บริหารเหมืองหยกในเมืองฮปากัน โดยใช้รายได้เพื่อเสริมสร้างความเป็นอิสระและสร้างขีดความสามารถในการปกครอง, ผู้เขียนระบุ 

กองกำลัง UWSA เองก็มีประวัติศาสตร์การค้ากับจีนมายาวนานโดยการส่งออกดีบุกจากรัฐว้ามายังจีน กลุ่มกองกำลังติดอาวุธนี้ ดำเนินการด้านระบบภาษีที่ไม่เป็นทางการและเอื้อการเข้าถึงทรัพยากรอย่างมีเสถียรภาพเพื่อแลกกับการไม่แทรกแซงทางการเมือง และ KIA กำลังดำเนินบทบาทที่เริ่มคล้ายคลึงกับ UWSA, ผู้เขียนระบุ

เขายังได้วิเคราะห์ความแตกต่างของเบื้องหลังของกลุ่มหรือองค์กรเหล่านี้เพื่อสะท้อนจุดอ่อนจุดแข็ง ตลอดจนความพยายามของมหาอำนาจต่างๆ รวมถึงจีน สหรัฐอเมริกา และแม้แต่อินเดีย ที่จะเข้าถึงแหล่งทรัพยากรเหมืองแร่ในดินแดนของกลุ่มหรือองค์กรเหล่านี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทูตและเสถียรภาพในเมียนมา แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ กลุ่มหรือองค์กรติดอาวุธเหล่านี้ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่า “การทูตเชิงอำนาจด้านทรัพยากร”

เขากล่าวว่า พวกเขากำลังเจรจาทางธุรกิจเกี่ยวกับทรัพยากรเหล่านี้กับจีนโดยตรง โดยมีเวทีร่วมที่ทำหน้าที่เป็นกลไกสำหรับการมีส่วนร่วมอย่างไม่เป็นทางการกับจีน นั่นคือ คณะกรรมการเจรจาและปรึกษาทางการเมืองแห่งสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรร่วมของกลุ่มกองกำลังหรือองค์กรติดอาวุธที่นำโดยกองทัพสหรัฐว้า (UWSA)

“ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ารูปแบบการทูตที่ขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรเช่นนี้ จะสร้างเสถียรภาพทางการเมืองในพื้นที่ได้หรือไม่ สิ่งที่ชัดเจนคือ แร่ธาตุหายากกำลังมีอิทธิพลต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองของเมียนมาตอนเหนือ การปกครองโดยกลุ่มองค์กรติดอาวุธ การค้าข้ามพรมแดน และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจกำลังมาบรรจบกันในพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นพื้นที่ชายขอบ…

“การควบคุมดินแดนปกครองและแหล่งทรัพยากรแร่ ได้สร้างอิทธิพลและเสริม “ความตระหนัก” ในกลุ่มองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ และกองกำลังพิทักษ์ประชาชนว่า จีนจะพูดคุยติดต่ออย่างเป็นรูปธรรมกับใครก็ตามที่มีอำนาจในพื้นที่” ผู้เขียนกล่าว

Bangkok Tribune ได้ส่งคำถามชุดหนึ่งไปยังตัวแทนของประเทศจีนผ่านสถานทูตจีนในประเทศไทย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับจากสถานทูต

การรณรงค์ครั้งสำคัญที่กลุ่มภาคประชาสังคมและนักวิชาการในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายจัดขึ้นเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน
ภาพ: ©ธิติ วรรณมณฑา

การต่อสู้ของชุมชน

ที่ปลายน้ำ การขับเคลื่อนในประเด็นสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำในครั้งแรกของชาวท่าตอน ได้เกิดเป็นกระแสและขยายการรับรู้ไปในวงกว้างในสังคม ตั้งแต่จังหวัดเชียงรายที่อยู่ปลายน้ำไกลออกไป ไปจนถึงกรุงเทพมหานคร ในระดับภูมิภาค และในระดับนานาชาติ

แม้ว่าประชาชนทั่วไปจะเริ่มตระหนักและรับรู้ปัญหาดังกล่าวในวงกว้างมากขึ้น แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้โดยตรง ยังคงหาแนวทางแก้ไขอย่างยากลำบาก อันเนื่องมาจากความซับซ้อนของปัญหาดังกล่าว

เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการบริหาร Rivers and Rights Foundation และอดีตผู้อำนวยการรณรงค์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ International Rivers ซึ่งรณรงค์ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์แม่น้ำในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมานานกว่า 20 ปี ได้แสดงความผิดหวังต่อการแก้ปัญหานี้ โดยกล่าวว่า หากเปรียบเทียบกับการพัฒนาพลังงานน้ำในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างแล้ว จะเห็นชัดว่าปัญหานี้เป็น “อาชญากรรมต่อสิ่งแวดล้อม” ที่ประชาชนสามารถรับรู้และมองเห็นได้ด้วยตาตนเอง เพราะเป็นมลพิษที่ไร้การควบคุมซึ่งอาจทำให้ประชาชนทั่วไปถึงแก่ชีวิตได้ แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีแนวทางแก้ไขหรือคำสั่งที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัฐบาลของเธอ

เธอและผู้สนับสนุนการขับเคลื่อนในเครือข่ายของกลุ่มภาคประชาสังคมและนักวิชาการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่าง “เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก และแม่น้ำโขง” ได้รณรงค์เกี่ยวกับปัญหานี้มาตั้งแต่วันแรกๆ ร่วมกับชาวท่าตอนและเสนอข้อเสนอที่สุดขั้ว โดยเรียกร้องให้หน่วยงานและรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง “ยุติ” การทำเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่คนทั่วไปคิดว่าแทบเป็นไปไม่ได้ในบริบทปัจจุบัน แต่มันคือแนวทางการแก้ไขที่ต้นตอของปัญหาโดยตรง

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยดูเหมือนจะขาดเจตจำนงทางการเมืองที่เข้มแข็งในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อระบุต้นตอของปัญหา เพียรพรตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้

“ดิฉันไม่เห็นความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหาจากรัฐบาล และไม่เห็นทางออกที่เป็นรูปธรรมจากเรื่องนี้ คนทั่วไปอาจบอกว่าการพูดคุยกับผู้ที่ไม่มีสถานะเป็นรัฐเป็นเรื่องยาก แต่ดิฉันอยากบอกว่า ถ้าเราต้องการแก้ปัญหานี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ประเด็นคือ คุณได้ลองแล้วหรือยัง จนถึงตอนนี้ ดิฉันยังไม่เห็นรัฐบาลไทยแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องนี้” เพียรพรกล่าว

เพียรพรอ่านข้อเรียกร้องในนามของเครือข่ายฯ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้รัฐบาลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจีน ใส่ใจต่อความทุกข์ยากของประชาชนในพื้นที่ปลายน้ำและหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา นั่นคือการยุติการทำเหมือง
ภาพ: ©Bangkok Tribune

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลภายใต้คำสั่งของอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้แต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง ให้กำกับดูแลหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดการกับปัญหา ทางรัฐบาลได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการชุดใหม่ขึ้นภายใต้คณะกรรมการระดับชาติที่รองนายกฯ ประเสริฐเป็นประธาน เพื่อช่วยหาทางแก้ไขปัญหาในมิติต่างๆ รวมถึงการบรรเทาผลกระทบจากสารพิษ 

โครงการที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดที่พวกเขาได้นำเสนอ คือการสร้างเขื่อนในแต่ละช่วงลำน้ำเพื่อสกัดกั้นโลหะหนักที่จะไหลลงสู่ปลายน้ำ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ชาวบ้านในพื้นที่และกลุ่มภาคประชาสังคมหลายกลุ่มคัดค้านอย่างหนักเพราะเกรงว่าจะทำให้สถานการณ์แย่ลง

นอกจากนั้น ยังมีการตรวจสอบเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสารพิษ ไม่ว่าจะเป็นในน้ำและตะกอนในแม่น้ำ ปลาในแม่น้ำ พืชผลทางการเกษตรจากไร่สวนริมน้ำ น้ำประปา น้ำบาดาล ไปจนถึงสุขภาพของประชาชนในชุมชนใกล้แม่น้ำ กลไกการติดตามตรวจสอบเฝ้าระวังของรัฐบาลนี้ ยังคงดำเนินต่อไปผ่านการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่น แม้ในสมัยรัฐบาลอนุทินชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน

รองนายกฯ​ประเสริฐยังถูกกดดันให้หารือเรื่องนี้กับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และทีมเจรจาฯ ของเขาจึงได้เริ่มการเจรจากับรัฐบาลชั่วคราวของเมียนมา จนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคม ทีมเจรจาฯ จากประเทศไทยจึงสามารถหารือเรื่องนี้ที่กรุงเนปิดอว์ได้สำเร็จ ความสำเร็จเพียงหนึ่งเดียวของการประชุมครั้งนั้นคือ การจัดตั้งการปฏิบัติการร่วมติดตามตรวจสอบเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก 

นายประเสริฐ เดินทางมาถึงกรุงเนปิดอว์ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมเพื่อพยายามเจรจากับรัฐบาลชั่วคราวของพม่า
เครดิตภาพ ©ThaiGov

Eyler ซึ่งติดตามประเด็นนี้มาตลอดกล่าวว่า งานติดตามตรวจสอบเฝ้าระวังจะช่วยให้สามารถกำหนดนโยบายที่ตอบสนองปัญหาได้ดีขึ้น แต่ไม่น่าจะจัดการปัญหาจากของผู้ประกอบการเหมืองแร่จีนในเมียนมาได้ 

เขาบอกว่าคนทำเหมืองเหล่านี้ดำเนินกิจการการอยู่ในดินแดนที่รัฐเข้าไม่ถึงโดยสิ้นเชิง และการหยุดยั้งการทำเหมืองยังต้องอาศัยความร่วมมือจากปักกิ่งหรือผู้มีบทบาททางการเมืองอื่นๆ ในจีน ซึ่งเขากล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่พบการแสดงออกถึงความกระตือรือล้นใดๆ ในการแก้ไขปัญหานี้

นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ และผู้ได้รับรางวัล Goldman Environmental Prize ประจำปี 2565 พร้อมด้วยนักวิชาการท่านอื่นๆ ในสาขาต่างๆ อาทิ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ จากภาควิชาบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และหนึ่งในกรรมการลุ่มน้ำโขงตอนเหนือ และดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม สาขาการพัฒนาระหว่างประเทศ และศูนย์วิจัยนวัตกรรมสังคมเชิงพื้นที่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ต่างตระหนักดีว่าปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อนเพียงใด 

พวกเขาได้วิเคราะห์กิจการเหมืองตั้งแต่การขุดหาแร่ในเขตต้นน้ำไปจนถึงห่วงโซ่อุปทานและตลาดโลกทางปลายน้ำ และตระหนักว่า ปัญหานี้เป็น “ภัยพิบัติ”

นักวิชาการและผู้นำภาคประชาสังคมเหล่านี้เห็นพ้องกันว่า มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยอย่างจริงจังกับกลุ่มกองกำลังหรือองค์กรติดอาวุธที่เกี่ยวข้องและจีน และรัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีชุดข้อมูลที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม รวมถึงองค์ความรู้ที่เข้มแข็งเกี่ยวกับประเด็นนี้ เพื่อที่จะสามารถนำเสนอนโยบายและแนวทางแก้ไขที่ตอบสนองต่อปัญหาอย่างเหมาะสมได้ 

อย่างไรก็ตาม ดร.เสถียร ซึ่งพยายามผลักดันการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่เพื่อช่วยรวบรวมสังเคราะห์ข้อมูลของปัญหาในทุกแง่มุมที่จะช่วยกำหนดนโยบายที่ตอบสนองปัญหา กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในกระบวนการแก้ไขปัญหา 

ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ นิวัฒน์ ซึ่งต่อสู้กับการพัฒนาพลังงานน้ำในภูมิภาคแม่น้ำโขงมายาวนาน มองว่า รัฐบาลไทยเพียงลำพัง ไม่สามารถพูดคุยกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนี้ได้อีกต่อไป เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อน

เขากล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่ประเด็นนี้จะต้องถูกยกระดับขึ้นไปและหารือกันในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ เพื่อให้ได้แรงสนับสนุนจากประชาคมระดับภูมิภาคและนานาชาติเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (LMC) อาเซียน หรือแม้แต่สหประชาชาติ 

และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ภาคประชาชนต้องได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไขปัญหานี้, เขากล่าว

สำหรับพระมหานิคม ท่านเห็นพ้องว่า ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานี้ขึ้นอยู่กับประชาชนด้วย เพราะประชาชนสามารถช่วยผลักดันให้เกิดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องได้ 

ประชาชนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาได้ และต้องเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาด้วย เพราะปัญหานั้นเป็นปัญหาของพวกเขาเอง พระเถระผู้ชี้นำจิตวิญญาณของชุมชนกล่าว

“ชาวบ้านบางคนต่อสู้อย่างหนักเพื่อแก้ปัญหานี้ และพวกเขาบอกว่ารู้สึกสิ้นหวัง เพราะการกระทำของพวกเขาไม่ได้ผลอะไรเลย ตัวอาตมาเองไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังกับเรื่องนี้เลย 

“อย่างน้อยที่สุด” พระเถระอาวุโสกล่าวต่อว่า “เราก็ได้เรียนรู้ตลอดเส้นทาง เราได้เรียนรู้วิธีการใหม่ๆ พบปะผู้คนมากขึ้น และได้รับทักษะและประสบการณ์ใหม่ๆ ทั้งหมดนี้ ช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้นและรับมือกับสิ่งที่ยากขึ้น รวมถึงปัญหานี้ด้วย” 

“ทุกปัญหาในโลกนี้สามารถแก้ไขได้ แต่จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้านั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเราและการเติบโตของเรา ทั้งทางด้านสังคมและสติปัญญา” พระเถระผู้นำทางจิตวิญญาณกล่าวด้วยความคิดอันลึกซึ้งของท่าน ด้วยน้ำเสียงที่สงบและนุ่มนวล

พระสงฆ์จากวัดต่างๆ ในท่าตอนร่วมเดินขบวนอย่างสงบ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน
ภาพ: ©ธิติ วรรณมณฑา

รายงานชิ้นนี้ได้รับการแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ: SPECIAL REPORT SERIES: The Poisoned Rivers: From gold to rare earth, unregulated mining in Myanmar poisons the Mekong and its tributaries in Northern Thailand

ชมภาพเพิ่มเติมที่: PHOTO ESSAY: Living in Fear