Credit: PCD

ถอดบทเรียนนโยบายแก้ฝุ่น PM2.5 ในภาคเกษตร : อะไรคือต้นเหตุของความไม่ยั่งยืน?

ในปี 2023 ที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5 รุนแรงเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่วาระเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน(SDGs) ก้าวสู่ครึ่งทางที่จะครบกำหนด 15 ปี ในปี 2030 (พ.ศ.2573), รศ. ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ SDG MOVE ได้นำเสนอบทวิเคราะห์เชิงนโยบาย เพื่อชวนสำรวจต้นเหตุสำคัญของปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากการเผาในภาคการเกษตรทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งนโยบายเเละมาตรการรัฐในการแก้ไขปัญหาทั้งจากในประเทศและนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ผ่านแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” พ.ศ. 2562-2567

ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลโดยตรงและทำให้ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย “การลดการตายและเจ็บป่วยจากสารเคมีอันตรายและจากมลพิษและการปนเปื้อนทางอากาศ น้ำ และดิน” เป็น 1 ใน 9 เป้าหมายที่ตัวชี้วัดของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งระบุไว้ว่า ประเทศไทยอยู่ในสถานะวิกฤตส่งผลต่อการบรรลุ SDG3  สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยเฉพาะเป้าหมายย่อยที่ 3.9 และ SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน เป้าหมายย่อยที่ 11.6 และสอดคล้องกับประเด็นที่ผู้ตอบแบบสำรวจการรับรู้ความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาที่เป็นความท้าทายของไทย “Thailand’s  Unsustainable Development Review: 7 ปีผ่านไป ไทยยั่งยืนแค่ไหนในสายตาคุณ” มองว่าไม่ยั่งยืนที่สุดเป็นอันดับ 4 จาก 51 ประเด็น สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังคงมีความกังวลต่อปัญหาเรื่องฝุ่นควันอยู่ในสังคมอย่างมาก   

สถานการณ์ของมลพิษทางอากาศของประเทศไทยและผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย

องค์การอนามัยโลกประเมินว่ามลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุทำเกิดการเสียชีวิตกว่า 7 ล้านคน/ปี และก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย เช่น ฝุ่นพิษ PM2.5  รวมถึงเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว หัวใจล้มเหลว หลอดเลือดในสมองอุดตัน สมองเสื่อม ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ หอบหืด ภูมิแพ้ ฯลฯ ด้วยอันตรายต่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยต่อสุขภาพด้วยการปรับค่าแนะนำให้เข้มงวดขึ้น

เพื่อตระหนักถึงอันตรายของมลพิษทางอากาศ วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนได้มีหลายเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ที่ 2 ยุติความหิวโหย มีเป้าหมายย่อย SDG2.4 (ทำให้เกิดความมั่นใจในระบบการผลิตอาหารและการปฏิบัติด้านการเกษตรที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มผลิตภาพผลผลิตและผลผลิตที่จะช่วยรักษาระบบนิเวศน์ที่จะเพิ่มความเข้มแข็งในศักยภาพในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ภูมิอากาศที่เลวร้าย ความแห้งแล้ง น้ำท่วม และความเสียหาย และเพื่อปรับปรุงคุณภาพดินและที่ดินอย่างก้าวกระโดด ภายในปี 2573) SDG ที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มีเป้าหมายย่อย 3.9 (ลดจำนวนการตายและการเจ็บป่วยจากสารเคมีอันตรายและจากมลพิษและการปนเปื้อนทางอากาศ น้ำ และดิน ให้ลดลงอย่างมาก ภายในปี 2573) และ SDG ที่ 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน มีเป้าหมายย่อย 11.6 (ลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมต่อหัวประชากรในเขตเมือง รวมถึงการให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการจัดการคุณภาพอากาศ การจัดการของเสียของเทศบาล และการจัดการของเสียอื่น ๆ ภายในปี 2573)

สำหรับประเทศไทย มลพิษทางอากาศโดยเฉพาะค่าความเข้มข้นของฝุ่นพิษ PM2.5  ในทุกจังหวัด นับว่าสูงกว่าค่าแนะนำขององค์การอนามัยโลกหลายเท่าตัว สร้างผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างมหาศาล คนไทยต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจากการรักษาอาการป่วย สูญเสียโอกาสในการทำงานและหารายได้ทั้งคนป่วยและคนดูแล สูญเสียร่างกายที่แข็งแรงจากการสะสมมลพิษ สูญเสียค่าใช้จ่ายซื้อหน้ากากอนามัยและเครื่องฟอกอากาศ และที่สำคัญคือการสูญเสียความสุขเพราะต้องอยู่แต่ในบ้าน โดยรวมครัวเรือนไทยเผชิญกับมูลค่าความเสียหายจาก PM2.5 สูงถึง 2.173 ล้านล้านบาท ในปี 2562

ในระยะยาว หากปล่อยให้ปัญหามลพิษทางอากาศเรื้อรัง ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวและขีดความสามารถของการแข่งขันในตลาดโลก เพราะทรัพยากรมนุษย์เจ็บป่วยโดยเฉพาะเด็ก ๆ เยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต และสินค้าไทยจะถูกมาตรการกีดกันทางการค้าจากการผลิตสินค้าที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศซึ่งทำให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหนักหน่วงขึ้น ไม่สามารถดึงดูดคนต่างชาติที่มีศักยภาพสูงมาทำงานในประเทศไทยได้ และคนเก่งของไทยก็จะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ จะเห็นว่าต้นทุนในการเพิกเฉยและไม่จริงจังในการแก้ไขปัญหามีมูลค่ามหาศาลมากต่อสังคมไทย 

เพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่นพิษ PM2.5  ภาครัฐได้นำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขมลพิษด้านฝุ่นละออง” มาใช้เมื่อปี 2562 อย่างไรก็ตาม แผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวไม่สามารถหยุดยั้งปัญหามลพิษทางอากาศได้ โดยในปี 2566 ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน สถานการณ์มลพิษทางอากาศของประเทศไทยนับว่ารุนแรงมากที่สุดในรอบ 5 ปี ภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าในกรุงเทพฯ มีจำนวนวันที่ค่าดัชนีคุณภาพอากาศสูงเกิน 100 (ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของกลุ่มเสี่ยง) ถึง 76 วัน จาก 120 วัน ซึ่งมากที่สุดในช่วงปี 2562-2566 ส่วนภาพที่ 2 ก็บ่งชี้ว่าในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนวันที่ค่าดัชนีคุณภาพอากาศสูงเกิน 150 (ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายมากต่อสุขภาพ) ถึง 59 วัน จาก 120 วัน สูงที่สุดในรอบ 5 ปี นอกจากนั้น ยังพบว่าในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2566 ทั้งกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ มีจำนวนวันที่อากาศสะอาดให้หายใจน้อยมาก

ภาพที่ 1 จำนวนวันในช่วง ม.ค.-เม.ย. ระหว่างปี 2560-2566 จำแนกตามค่าดัชนีคุณภาพอากาศของกรุงเทพฯ
ที่มา : The World Air Quality Index Project Team (2023)
ภาพที่ 2 จำนวนวันในช่วง ม.ค.-เม.ย. ระหว่างปี 2560-2566 จำแนกตามค่าดัชนีคุณภาพอากาศของเชียงใหม่
ที่มา : The World Air Quality Index Project Team (2023)

การเผาในภาคเกษตรเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดฝุ่นพิษ PM2.5 ที่สำคัญ

แม้ว่าฝุ่นพิษ PM2.5  จะมาจากหลายแหล่งกำเนิด เช่น ภาคยานยนต์ ภาคเกษตร ภาคป่าไม้ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ฯลฯ แต่ฝุ่นพิษ PM2.5  ที่มีแหล่งกำเนิดจากภาคเกษตรนับว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้มลพิษทางอากาศมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเผาเพื่อเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงจากการผลิตสินค้าเกษตรทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนั้น การเผาเพื่อเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงจากการผลิตสินค้าเกษตรยังเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าไม้อีกด้วย เมื่อพิจารณาสถานการณ์การเผาในภาคเกษตร พบว่า การเผาในประเทศเพื่อนบ้านมีสัดส่วนที่สูงกว่าการเผาในประเทศไทย โดยสถานการณ์การเผาในที่โล่งแจ้งภาคเกษตรภายในประเทศไทยระหว่างปี 2563-2566 ซึ่งวัดจากจำนวนจุดความร้อนที่รายงานโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (2563-2566) จะพบว่า การเผาในภาคเกษตรได้ปรับเพิ่มขึ้นในปี 2566 และสูงกว่าปี 2564 และ 2565 (แท่งสีแดง ภาพที่ 3ก)

สถิติข้างต้นยังไม่รวมการเผาจากการทำเกษตรในพื้นที่ป่าไม้และการเผาจากการทำเกษตรที่ดาวเทียมไม่สามารถตรวจพบได้เนื่องจากมีการเผาหลบหลีกช่วงเวลาที่ดาวเทียมโคจรมายังประเทศไทย และเมื่อพิจารณาพืชที่พบการเผา จะพบว่านาข้าวพบการเผามากที่สุด รองลงมาคือ ไร่ข้าวโพดและไร่หมุนเวียน และไร่อ้อย ตามลำดับ (ภาพที่ 3ข) (อัพเดท/ 26 ม.ค. 2524: ข้อมูลงจาก คณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนร่างกฏหมายว่าด้วยอากาศสะอาด ที่ได้ประมวลสถานการณ์ปลายปี 2567 พบว่า ข้าวโพดและไร่หมุนเวียนที่สัดส่วยพื้นที่เผาไหม้แซงนาข้าว โดยอยู่ที่ 14.5% (เพิ่มขึ้นมาจาก 6% ที่สำรวจในช่วง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2563) (นาข้าวลดลงมาที่ 10.8% เมื่อเทียบกับ 22% ที่สำรวจในช่วง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2553-2563)

ก. จำนวนจุดความร้อนจำแนกตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน
     ข. ร้อยละของจำนวนจุดความร้อนจำแนกตามพื้นที่เกษตร

ภาพที่ 3 จำนวนและร้อยละของจุดความร้อนจำแนกตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (2563, 2564, 2565, 2566) หมายเหตุ : ปี 2566 จำนวนจุดความร้อนนับถึง 30 เมษายน 2566

สำหรับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวนจุดความร้อนส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการเผาในภาคเกษตร โดยเฉพาะการเผาในนาข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อย นอกจากนั้น จำนวนจุดความร้อนอีกส่วนหนึ่งยังมาจากการเผาบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกมันสำปะหลังซึ่งพบใน สปป.ลาว จากภาพที่ 4 ซึ่งแสดงจำนวนจุดความร้อนรวมที่เกิดขึ้นจากการเผาทั้งในและนอกภาคเกษตรจะพบว่า ในปี 2566 (ค.ศ.2023) สปป.ลาว มีจำนวนจุดความร้อนมากที่สุดและเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีอื่น รองลงมาได้แก่ เมียนมา กัมพูชา ไทย และเวียดนาม ตามลำดับ และหากนำจำนวนจุดความร้อนของทุกประเทศมารวมกันจะพบว่า จำนวนจุดความร้อนในอาเซียนตอนบนทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 9 ปี (ภาพที่ 5)

ภาพที่ 4 จำนวนจุดความร้อนจำแนกตามประเทศในอาเซียนตอนบนระหว่างปี ค.ศ. 2018-2023
ที่มา : ASEAN Specialised Meteorological Centre (ASMC) (2023)
หมายเหตุ : จำนวนจุดความร้อนในปี ค.ศ. 2023 นับตั้งแต่ 1 ม.ค. –  9 พ.ค. 2566 เท่านั้น
ภาพที่ 5 จำนวนจุดความร้อนรวมในกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบนระหว่างปี 2558-2566*
ที่มา : ASEAN Specialised Meteorological Centre (ASMC) (2023)
หมายเหตุ : จำนวนจุดความร้อนในปี ค.ศ. 2023 นับตั้งแต่ 1 ม.ค. –  9 พ.ค. 2566 เท่านั้น

นาข้าว หมายถึง พื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมโดยมีการปลูกข้าวเป็นหลัก 
ข้าวโพดและไร่หมุนเวียน หมายถึง พื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมแบบพืชไร่ โดยปลูกข้าวโพดเป็นหลัก รวมถึงพื้นที่ไร่หมุนเวียน ซึ่งในปัจจุบันเกษตรกรมักปลูกข้าวโพดในพื้นที่นี้ 
อ้อย หมายถึง พื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมเป็นแบบพืชไร่ โดยปลูกอ้อยเป็นหลัก 
พื้นที่เกษตรอื่น ๆ หมายถึง พื้นที่ที่มีการประโยชน์จากที่ดินเป็นเกษตรกรรมทั้งหมด ไม่นับรวมนาข้าว อ้อย ข้าวโพด และไร่หมุนเวียน 
พื้นที่ป่า หมายถึง พื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินเป็นพื้นที่ป่า 
และพื้นที่อื่น ๆ หมายถึง พื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอื่นใดที่ไม่เป็น นาข้าว อ้อย ข้าวโพด ไร่หมุนเวียน และพื้นที่ป่า

* กลุ่มประเทศอาเซียนตอนบน ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา ไทย และเวียดนาม

นโยบายเเละมาตรการของรัฐในการจัดการ PM 2.5 จากการเผาในภาคเกษตร

เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศรวมถึงฝุ่นพิษ PM2.5  ที่เกิดจากการเผาในภาคเกษตรทั้งภายในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ในปี 2562 รัฐบาลไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” พ.ศ. 2562-2567 และได้มีการปรับปรุงแผนปฏิบัติฯ พร้อมจัดทำแผนเฉพาะกิจในแต่ละปีมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักด้านการเกษตร และกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการผลิตอ้อยและอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้มีการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาการเผาในภาคเกษตร ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

  • แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” พ.ศ. 2562-2567

แผนการปฏิบัติการฯ ฉบับนี้มีการนำ 3 มาตรการหลักมาใช้ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งสามารถสรุปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเผาในภาคเกษตรได้ดังนี้

มาตรการแรก เน้นการให้อำนาจการบริหารจัดการเชิงพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จโดยพิจารณาจากข้อมูลสถานการณ์เฉพาะหน้าในการแก้ปัญหาแบบเร่งด่วน โดยเน้นการเร่งสร้างการรับรู้และสร้างจิตสำนึกเพื่อลดและงดการเผาเศษวัสดุการเกษตรโดยเฉพาะในโรงเรียน ชุมชน และหมู่บ้าน เน้นส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ให้พิจารณาจัดตั้งศูนย์บูรณาการข้อมูลวิชาการเพื่อพัฒนาและรวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งแจ้ง และให้จัดทำและดำเนินการตามแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิงทั้งในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรให้แล้วเสร็จก่อน 15 กุมภาพันธ์หรือวันที่จังหวัดกำหนด

นอกจากนั้น แผนฯ ยังส่งเสริมทางเลือกอาชีพและการจัดการเศษวัสดุการเกษตรโดยให้เป็นแนวทางที่เหมาะสมกับพื้นที่และความต้องการของประชาชน บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อผู้มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย ในระดับระหว่างประเทศ ให้มีการแจ้งเตือนประเทศที่เป็นต้นเหตุหมอกควันและสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อให้ควบคุมสถานการณ์และดำเนินการตามข้อกำหนดในข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน โดยขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนที่นำทางอาเซียนปลอดหมอกควันข้ามแดน และแผนปฏิบัติการเชียงราย พ.ศ. 2560 เพื่อป้องกันมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ให้มีการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศโดยใช้กลไกในทุกระดับ ได้แก่ ระดับอาเซียน ระดับคณะกรรมการชายแดนภายใต้กระทรวงกลาโหม และระดับจังหวัดชายแดนคู่ขนานระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 

มาตรการที่สอง เน้นไปที่การป้องกันและลดมลพิษที่ต้นทาง มีการกำหนดมาตรการลดการเผาในไร่อ้อยอย่างเป็นรูปธรรม โดยมาตรการที่เกี่ยวข้องกับอ้อย ประกอบด้วย การกำหนดมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อแก้ปัญหาอ้อยไฟไหม้ กำหนดพื้นที่ปลอดการเผาอ้อยเพื่อเป็นจังหวัดต้นแบบปลอดการเผาอ้อย ตัดอ้อยสดร้อยละ 100  จำนวน 5 จังหวัดภายในปี 2563  ส่งเสริมสินเชื่อเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร และกำหนดให้โรงงานน้ำตาลรับซื้ออ้อยไฟไหม้เข้าหีบในฤดูการผลิตปี 2564/2565 2565/2566 และ 2566/2567 ไม่เกินร้อยละ 10 ต่อวัน ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อวัน และร้อยละ 0 ต่อวัน ตามลำดับ

สำหรับพืชอื่นไม่ได้กำหนดเป้าหมายหรือมาตรการแบบเฉพาะเจาะจงเหมือนอ้อย โดยกำหนดเพียงมาตรการกว้าง ๆ เอาไว้ เช่น ส่งเสริมให้มีการนำเศษวัสดุทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ การขยายเครือข่ายเกษตรปลอดการเผาให้แก่เกษตรกร การส่งเสริมวนศาสตร์เกษตรในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ห้ามไม่ให้มีการเผาในที่โล่งโดยเด็ดขาด ส่งเสริมการใช้มาตรการด้านเศรษฐศาสตร์เพื่อส่งเสริมการป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในที่โล่งและป่าไม้ 

สำหรับมาตรการสุดท้าย เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ ได้กำหนดให้มีการทบทวน/ปรับปรุงกฎหมาย/มาตรฐาน/แนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในการจัดระบบการจัดการเชื้อเพลิงในภาคการเกษตร

  • นโยบาย/ มาตรการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาการเผาในภาคเกษตรซึ่งมักจะมีการกำหนดมาตรการในลักษณะปีต่อปีตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรร โดยมีการนำแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมมาใช้ [10] ซึ่งประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ การป้องกัน การยับยั้ง/เผชิญเหตุ และการแก้ไข/ฟื้นฟู ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

มาตรการที่ 1 เน้นการป้องกันโดยสร้างการรับรู้แก่เกษตรกรผ่านการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ จัดกิจกรรมรณรงค์การหยุดเผาในพื้นที่เกษตรกรรม และรณรงค์ส่งเสริมการใช้เศษวัสดุเพื่อทดแทนการเผา จัดหน่วยปฏิบัติการระดับพื้นที่เพื่อเยี่ยมเยียนเกษตรกรและแนะนำให้ความรู้ด้านการเกษตรปลอดการเผา ส่งเสริมการจัดการเศษวัสดุเพื่อทดแทนการเผาแก่เกษตรกรผ่านหลายโครงการ เช่น โครงการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่เกษตรกับเกษตรกร 17,640 ราย กิจกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกับเกษตรกร 15,400 ราย  กิจกรรมเพิ่มศักยภาพการจัดการฟางข้าวหลังการเก็บเกี่ยวกับเกษตรกร 200 ราย กิจกรรมไถกลบตอซังในพื้นที่ 13,000 ไร่ โครงการส่งเสริมระบบวนเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน 45,000 ไร่ ครอบคลุมเกษตรกร 4,566 ราย 

มาตรการที่ 2 เน้นไปที่การยับยั้ง/เผชิญเหตุ ซึ่งมี 6 แผนงานหลัก ได้แก่ 1) ติดตามและเฝ้าระวังจุดความร้อนและพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม และแจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน 2) สนับสนุนและประสานการปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์อำนวยการฯ จังหวัด รวมทั้งประสานการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในช่วงเวลาห้ามเผา 3) ให้อาสาสมัครเกษตรประจำหมู่บ้าน (อกม.) และเครือข่ายอาสาสมัครเกษตร แจ้งเหตุให้ศูนย์รับแจ้งเหตุในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือกำนัน/ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ทราบทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์เผาในพื้นที่เกษตรกรรม 4) ปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าช่วงกุมภาพันธ์ – กันยายน 2566 5) สนับสนุนรถบรรทุกน้ำในกรณีเกิดไฟไหม้ในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรกรรม และ 6) ฉีดละอองน้ำเพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองในบริเวณพื้นที่ชุมชนใกล้เคียง

มาตรการที่ 3 เน้นไปที่การแก้ไข/ฟื้นฟู โดยให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมถอดบทเรียนเหตุการณ์ไฟป่าหมอกควัน การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การบริหารจัดการในพื้นที่ และการยับยั้ง/เผชิญเหตุ เพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานและทบทวนกำหนดแผนปฏิบัติการในปีถัดไป 

  • นโยบาย/ มาตรการของกระทรวงอุตสาหกรรม

ในฐานะผู้รับผิดชอบการผลิตอ้อยและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินหลายมาตรการเพื่อลดการเผาจากการเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงในไร่อ้อย ตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” พ.ศ. 2562-2567 ที่ได้กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้ นอกจากนั้น ได้จัดหาเครื่องสางใบอ้อยให้เกษตรกรยืมใช้เก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อทดแทนการเก็บเกี่ยวด้วยแรงงานและการเผา มีการดำเนินมาตรการหักเงินจากอ้อยไฟไหม้ 30 บาทต่อตันอ้อยต่อเนื่องกันในหลายฤดูกาลผลิตและนำมาจ่ายให้กับอ้อยส่วนที่ไม่ถูกไฟไหม้ (อ้อยสด) นอกจากนั้น ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดโดยสนับสนุนค่าแรงและค่าใช้จ่ายในการจัดการวัสดุ 120 บาทต่อตันอ้อยในฤดูการผลิต 2563/2564 2564/2565 และ 2565/2566 คิดเป็นงบประมาณช่วยเหลืออ้อยตัดสดเท่ากับ 5,885 ล้านบาท 8,034 ล้านบาท และ 7,573 ล้านบาท ตามลำดับ 

และทางสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายยังได้ร่วมลงนามกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และโรงงานน้ำตาล 57 แห่ง เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี 2562-2564 และจัดโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อใช้ในการบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ปี 2565 – 2567 โดยมีวงเงินกู้ปีละ 2,000 ล้านบาท รวมวงเงิน 6,000 ล้านบาท ให้แก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สถาบันชาวไร่อ้อยฯลฯ ซึ่ง ครม.อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. เป็นเงิน 789.75 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ

*หมายเหตุ : พิจารณาจากสถิติปริมาณอ้อยสดเข้าหีบจากรายงานการผลิตน้ำตาลทรายของโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศฉบับปิดหีบ

วิพากษ์นโยบายเเละมาตรการของรัฐที่มีต่อการจัดการฝุ่นพิษ PM2.5  จากการเผาในภาคเกษตร

แม้ว่าภาครัฐได้ดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆ ข้างต้น แต่ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5  กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นสะท้อนให้เห็นว่านโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่นำมาใช้มีช่องว่างมากมาย ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้

  • ช่องว่างของนโยบายและมาตรการภายในประเทศไทย พบว่า: 

1) การจัดการกับการเผาไม่ได้ครอบคลุมแบบเฉพาะเจาะจงกับการเผาในนาข้าวและไร่ข้าวโพด มีเพียงอ้อยเท่านั้น ที่มีการระบุมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจน 

2) ใช้นโยบายและมาตรการที่ไม่ยั่งยืนและไม่ตรงจุดในการแก้ไขปัญหาการเผาในไร่อ้อย กล่าวคือ มีการตัดราคารับซื้ออ้อยไฟไหม้กับเกษตรกร แต่ไม่ได้มีการปรับโรงงานน้ำตาลที่รับซื้ออ้อยไฟไหม้ อ้อยไม่เหมือนกับสินค้าเกษตรทั่วไปเพราะไม่ได้เป็นสินค้าที่มีการบริโภคเลย แต่ถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ดังนั้น การแก้ปัญหาโดยใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pay Principle) จึงไม่เหมาะสม และควรเปลี่ยนการแก้ปัญหาโดยใช้หลักการที่ขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตไปยังช่วงต่าง ๆ ของวงจรชีวิตของบรรจุภัณฑ์ (Extended Producer Responsibility)

นอกจากนั้น การตัดราคารับซื้ออ้อยไฟไหม้กับเกษตรกร 30 บาท/ตัน น้อยเกินไปทำให้ไม่สามารถจูงใจให้แรงงานหันมารับจ้างตัดอ้อยสดได้ และการให้เงินช่วยเหลืออ้อยตัดสด 120 บาท/ตัน นับว่าไม่ยั่งยืน เพราะไม่ได้ทำให้เกษตรกรปรับตัวเพื่อลดการเผาอ้อยอย่างถาวร กล่าวคือถ้าหยุดให้ความช่วยเหลือเมื่อไหร่การเผาอ้อยจะกลับมาเหมือนเดิม และการให้เงินช่วยเหลือในลักษณะนี้จะเป็นภาระงบประมาณของภาครัฐมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตเมื่อปริมาณการปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น ภาพที่ 6 แสดงให้เห็นว่าร้อยละอ้อยไฟไหม้ที่เกิดขึ้นจริงในฤดูการผลิต 2565/2566 เพิ่มขึ้นจากฤดูการผลิต 2564/2565 จากยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการฯ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 

3) นโยบายและมาตรการที่ใช้อยู่ในกรอบที่แคบมากทั้งในเชิงพื้นที่เกษตรและจำนวนเกษตรกร ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นในวงกว้างได้ เช่น นโยบาย/มาตรการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ครอบคลุมเกษตรกรเพียงหลักหมื่นราย ขณะที่จำนวนเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับการเผามีมากกว่าหนึ่งล้านราย หรือพื้นที่เพาะปลูกครอบคลุมเพียงกว่าแสนไร่ต้นๆ ขณะที่พื้นที่การเผาในภาคเกษตรมีมากหลายล้านไร่ และ 

4) นโยบายและมาตรการไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นสาเหตุของปัญหา ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5  จึงย้อนกลับมาทุกปี เช่น ไม่มีกฎหมายอากาศสะอาดที่บูรณาการกฎหมายและการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่มีหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหา ไม่มีรางวัลให้หน่วยงานที่ทำได้ตามเป้าหมายและบทลงโทษสำหรับหน่วยงานที่ทำไม่ได้ตามเป้าหมาย ขาดงบประมาณและการจัดการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศที่ต่อเนื่อง และขาดการใช้มาตรการจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา

ภาพที่ 6 ร้อยละอ้อยไฟไหม้ที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับแผนปฏิบัติการฯ
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (2566)
  • ช่องว่างของนโยบายและมาตรการระหว่างประเทศ พบว่า:

1) มาตรการส่วนใหญ่เน้นไปที่การขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและสำนักเลขาธิการอาเซียนพื่อให้ควบคุมสถานการณ์และดำเนินการตามข้อกำหนดในข้อตกลงอาเซียน ซึ่งเป็นข้อผูกพันแบบหลวมๆ และไม่มีข้อผูกพันในเชิงกฎหมาย 

2) ขาดการดำเนินการเรื่องการติดตั้งระบบตรวจสอบย้อนกลับและมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับการขายหรือรับซื้อสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผาทั้งในและระหว่างประเทศ ซึ่งเปิดช่องว่างให้ภาคเอกชนสนับสนุนการเผาในภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก Trademap (2023) (ภาพที่ 7) พบว่า ภาคเอกชนไทยส่งเสริมการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มีการนำเข้าข้าวโพดจากเมียนมามากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2562 หลังรัฐบาลไทยเข้มงวดกับการเผาในที่โล่งแจ้ง โดยมูลค่านำเข้าข้าวโพดของประเทศไทยจากเมียนมาสูงเป็นอันดับหนึ่งถึง 14,312 ล้านบาท! ในปี 2565 หรือคิดเป็นพื้นที่ที่ไทยสนับสนุนให้มีการเผาไร่ข้าวโพดในเมียนมากว่า 2 ล้านไร่ นอกจากนั้น เมียนมายังมีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดจากภาคเอกชนของไทยเพื่อนำไปเพาะปลูกเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ภาพที่ 7 มูลค่าการนำเข้าข้าวโพดของไทยจากเมียนมาและมูลค่าการส่งออกเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดของไทยไปเมียนมา
ที่มา : Trademap (2023)

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาในภาคเกษตรอย่างยั่งยืน ภาครัฐควรดำเนินมาตรการใน 2 รูปแบบ โดยรูปแบบแรกสามารถดำเนินการได้เลยไม่ต้องข้อตกลงรออาเซียน และรูปแบบที่ 2 เป็นมาตรการที่ต้องขอความร่วมมือระดับอาเซียน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

  • มาตรการที่สามารถดำเนินการได้เลยไม่ต้องข้อตกลงรออาเซียน
  1. ควรเร่งออกกฎหมายอากาศสะอาดที่บูรณาการกฎหมายและการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยกฎหมายอากาศสะอาดควรครอบคลุมประเด็นการจัดตั้งหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหา เปิดโอกาสให้มีการใช้มาตรการจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เหมาะสมควบคู่กับการใช้กฎหมายและกฎระเบียบในการแก้ไขปัญหา กำหนดรางวัลให้หน่วยงานที่ทำได้ตามเป้าหมายและบทลงโทษสำหรับหน่วยงานที่ทำไม่ได้ตามเป้าหมาย มีงบประมาณที่เพียงพอและมีการจัดการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศที่ต่อเนื่อง และครอบคลุมปัญหามลพิษทางอากาศข้ามพรมแดนเหมือนกับสิงคโปร์ที่สามารถเอาผิดกับเจ้าของแหล่งกำเนิดหมอกควันพิษนอกประเทศไทยหรือบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง [12]  
  2. ควรเพิ่มมาตรการและเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงกับการจัดการการเผาในนาข้าวและไร่ข้าวโพดเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีเพียงอ้อยเท่านั้นตามกรอบเวลาที่เหมาะสม
  3. ควรส่งเสริมและสนับสนุนการจัดระเบียบการเผาและเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ละเมิด
  4. ควรปรับเปลี่ยนการช่วยเหลือแบบเยียวยาให้เปล่าเป็นแบบการให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขกับเกษตรกรให้มากขึ้นเพื่อจูงใจให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตเพื่อลดการเผาจากการเก็บเกี่ยวและจัดการแปลง ตลอดจนการปลูกพืชอื่นทดแทนข้าว ข้าวโพด หรืออ้อย โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่และความต้องการของตลาด
  5. ควรส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และ NGO ในพื้นที่เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการให้ความรู้และแนวปฏิบัติกับเกษตรกรถึงทางเลือกที่สามารถทดแทนการเผาเพื่อเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ การจัดการแปลงสำหรับใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยว
  6. ควรส่งเสริมให้มีการรวมแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรรายย่อย พร้อมสร้างความร่วมมือระหว่างเกษตรกรรายย่อยและผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรตั้งแต่การผลิตจนถึงการเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงสำหรับเครื่องจักร
  7. ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อเก็บเกี่ยวและจัดการแปลงอย่างทั่วถึงในราคาที่ไม่สูงมากผ่านเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) ด้วยการพัฒนาตลาดเช่าบริการเครื่องจักรกลการเกษตรให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีในทุกพื้นที่
  8. ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีตลาดสำหรับเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อทำให้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทางข้าว อ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีราคาและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร พร้อมศึกษาการเก็บเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไว้ในแปลงเกษตรในระดับที่เหมาะสมเพื่อปรับปรุงคุณภาพของดิน
  9. ควรพัฒนาระบบโลจิสติกส์จากแปลงเกษตรกรถึงผู้รับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์สำหรับเกษตรกรและภาคเอกชนผู้รับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
  10. ควรให้การช่วยเหลือทางการเงินสำหรับการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในอุตสาหกรรมขั้นสูง และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการกักเก็บเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรควบคู่กันไปด้วย
  11. ควรส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนภาคสมัครใจเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ให้กับการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
  12. สำหรับมาตรการลดการเผาในไร่อ้อย ในปีแรกควรลดเงินสนับสนุนการตัดอ้อยสดเหลือ 100 บาท/ตัน และหักราคารับซื้ออ้อยไฟไหม้ 100 บาท/ตัน และปรับค่ารับซื้ออ้อยไฟไหม้ 20 บาท/ตันกับโรงงานน้ำตาลหรือผู้รับซื้ออ้อยไฟไหม้ เพื่อส่งสัญญาณให้เกษตรกรและโรงงานน้ำตาลปรับต้ว โดยเงินที่จัดเก็บได้จะนำเข้ากองทุนเพื่อนำไปช่วยเหลือเกษตรกรที่เผาอ้อยให้สามารถปรับตัวไปสู่การไม่เผา และช่วยเหลือโรงงานน้ำตาลที่รับซื้ออ้อยไฟไหม้เพื่อปรับตัวไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มจากใบอ้อยและเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอื่น จากนั้นในปีที่ 2 ควรยกเลิกเงินสนับสนุนการตัดอ้อยสด และหักราคารับซื้ออ้อยไฟไหม้เพิ่มเป็น 200 บาท/ตัน และปรับค่ารับซื้ออ้อยไฟไหม้เพิ่มเป็น 50 บาท/ตันกับโรงงานน้ำตาลหรือผู้รับซื้ออ้อยไฟไหม้ โดยเงินทั้งหมดที่จัดเก็บได้จะนำเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่เผาอ้อยและโรงงานน้ำตาลที่รับซื้ออ้อยไฟไหม้ให้ปรับตัว  [13]  
  13. ควรให้องค์ความรู้พร้อมเงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขในการปรับตัวไปสู่การไม่เผากับประเทศเพื่อนบ้าน
  14. ควรสนับสนุนการจัดเวทีระหว่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจถึงปัญหาและให้ชุมชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และแบ่งปันความรู้ในการแก้ไขปัญหา พร้อมช่วยย่อยข้อมูลเชิงเทคนิคที่เข้าใจยากให้เข้าใจได้ง่ายสำหรับชุมชนในพื้นที่
  15. ควรสนับสนุนการติดตั้งระบบตรวจสอบย้อนกลับการรับซื้อสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผาทั้งในและต่างประเทศ พร้อมออกแบบมาตรการกีดกันทางการค้าที่เหมาะสมเพื่อลดมลพิษทางอากาศ
  16. ควรกำหนดให้ภาคการเงินธนาคารผลักดันนโยบายสินเชื่อสีเขียว โดยการนำเงินกู้ออกจาก “อุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษ” ไปสู่ “อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” 
  17. ควรกำหนดให้ภาคการเงินธนาคารกำหนดเงื่อนไขการป้องกันไม่ให้เกิดฝุ่นพิษ PM2.5  ในระดับอันตรายในนโยบายและสัญญาสินเชื่อของธนาคาร
  • มาตรการที่ต้องขอความร่วมมือระดับอาเซียน
  1. ควรยกระดับความเข้มข้นในความร่วมมือโดยเร่งจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อควบคุมมลพิษข้ามพรมแดนของอาเซียน The ASEAN Coordinating Centre for Transboundary Haze Pollution Control (ACC) เพื่อหาแนวทางที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในภูมิภาคในการติดตามความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท สร้างเวทีระหว่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจถึงปัญหาและแบ่งปันความรู้ จัดทำฐานข้อมูลกลางของอาเซียนด้านผลกระทบของหมอกควันต่อสุขภาพของประชาชน และเพิ่มความตระหนักรู้ให้ประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษจากหมอกควันต่อสุขภาพ
  2. ควรส่งเสริมการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในลักษณะที่เป็นแบบ sub-region (ไทย เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) เพื่อให้การแก้ปัญหาทำได้ง่ายขึ้น
  3. ขอสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรจากบริษัทเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศ

อากาศสะอาดจัดเป็นสินค้าสาธารณะที่ภาครัฐจะต้องเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาโดยคำนึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก และภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่เกษตรกร ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนในฐานะผู้บริโภค ก็ควรช่วยกันแก้ไขปัญหา ได้เวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนควรจริงจังกับการแก้ไขปัญหาเพื่อสุขภาพของคนไทยทุกคนที่ดีขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต และนำประเทศไทยให้สามารถบรรลุเป้าหมายวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2573

บทความนี้ได้รับการอนุญาตให้เผยแพร่ในคอลัมน์ PERSPECTIVES จากผู้เขียน โดยมีการเผยแพร่ครั้งแรกที่ SDG MOVE