ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2565 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) จากโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่บนแม่น้ำโขง 3 โครงการคือ หลวงพระบาง ปากลาย ฯ และปากแบงที่คาดว่าจะมีผลกระทบกับประเทศไทยมากที่สุด ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากภาคประชาสังคมและนักวิชาการ
การเซ็นสัญญาฯ ดังกล่าวนำมาซึ่งคำถามถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและธรรมาภิบาลในการจัดการน้ำข้ามพรมแดนอย่างแม่น้ำโขงและในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าของประเทศที่พลังงานสำรองล้นเกินอยู่ในระบบแล้วมากกว่า 10,000 MW
ในเวทีเสวนา “เขื่อนปากแบง ธรรมาภิบาลเขื่อนแม่น้ำโขง และพลังงานไฟฟ้า ของประเทศ” ที่ได้จัดโดยสำนักข่าว Bangkok Tribune, Decode Plus (Thai PBS), SEA-Junction และชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม ซึ่งสนับสนุนโดยมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์ ประเทศไทย ผู้แทนหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญในประเด็นดังกล่าว ได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนให้ความรู้และมุมมอง ความคิดเห็นกับสาธารณะ พร้อมทั้งมีข้อเสนอเชิงนโยบายให้ยุติการผลักดันโครงการฯ ดังกล่าว และทบทวนการวางแผนผลิตและจัดหาพลังงานไฟฟ้าของประเทศที่ยังมีคำถามด้านความโปร่งใสตรวจสอบได้และความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค
โดย รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ SDG Move ได้ฉายภาพรวมของการวางแผนการผลิตและจัดหาไฟฟ้าของประเทศผ่านแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับล่าสุด พ.ศ. 2567-2580 (Power Development Plan 2024) อันเป็นที่มาของการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศ รวมทั้งจากโครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขงด้วยว่า แผน PDP 2024 ได้ระบุเป้าหมายที่สำคัญของแผนฯ คือ สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดในปี 2080 ที่ต้องมีร้อยละ 51 ซึ่งแปลว่าเกินครึ่งของสัดส่วนไฟฟ้าที่ผลิตทั้งหมดของประเทศไทยในปีดังกล่าวต้องเป็นพลังงานสะอาด
ในปัจจุบันสัดส่วนพลังงานน้ำ (จากต่างประเทศ) อยู่ที่ 7.4% เมื่อถึงปี 2580 หรือ 13 ปีนับจากนี้ จะเพิ่มเป็น 15% ซึ่งสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น รศ.ดร.ชาลี มองว่าเป็น “เค้ก” ก้อนที่ใหญ่ขึ้น เพราะไฟฟ้าถูกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี โดยปัจจุบันประเทศไทยใช้ไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะพลังงานน้ำอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านหน่วยต่อปี หากในปี 2580 เมื่อคำนวณที่ 15% การใช้ไฟฟ้าจากส่วนนี้ก็จะเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 50,000 ล้านหน่วยต่อปี เท่ากับประเทศไทยต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากต่างประเทศมากขึ้นถึง 2.5 เท่า ซึ่งนั่นหมายถึงการต้องมีเขื่อนและโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ณ ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าจากต่างประเทศมีกำลังผลิตอยู่ที่ประมาณกว่า 4,400 MW ซึ่งในปี 2580 จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 10,295 MW หรือประมาณ 3 เท่าของเขื่อน (เพิ่มขึ้น 5,833 MW) ในประเทศไทยทั้งหมดรวมกัน, รศ. ดร.ชาลี กล่าว
“คำว่า 10,000 MW หลายท่านอาจจะนึกภาพไม่ออก ถ้าเราดูเขื่อนทั่วประเทศ เรามีเขื่อนขนาดใหญ่อย่างเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งเขื่อนต่างๆ เหล่านี้รวมกัน ทุกเขื่อนมีกำลังผลิตแค่กว่า 3,000 MW เท่านั้น แปลว่าอะไร? แปลว่าเขื่อนต่างประเทศที่จะสร้างมีกำลังผลิตมากถึง 3 เท่าของเขื่อนที่เรามี ซึ่งไม่ได้หมายถึงจำนวนเขื่อน แต่หมายถึงโรงไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศ” รศ. ดร.ชาลี กล่าว
รศ. ดร.ชาลี กล่าวว่า แผน PDP จะมีการปรับปรุงค่อนข้างเร็ว คือในระยะทุกๆ 3-4 ปีก็จะมีการปรับครั้งหนึ่ง ดังนั้นแผนฯ ในระยะแรกๆ จะมีโอกาสเกิดสูงมาก เมื่อดูรายละเอียดของแผน PDP ฉบับล่าสุด ในช่วง 5-6 ปีแรกหรือถึงปี 2573 พลังงานสะอาดยังจะอิงจากแผนฉบับเดิมคือ PDP 2018 ซึ่งจะมีโซลาร์ฟาร์มมาเป็นลำดับที่ 1 กำหนดไว้ที่ประมาณ 6,900 MW ที่ตามมาเป็นลำดับที่ 2 คือ พลังลมประมาณ 2,500 MW และไฟฟ้าจากต่างประเทศจะกลายเป็นหนึ่งในพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดหลักๆ ที่จะเข้ามาในระบบ โดยมาเป็นลำดับที่ 3 ประมาณ 1,800 MW ในขณะที่โซลาร์รูฟท็อปครัวเรือนภาคประชาชน ได้รับความสำคัญน้อยโดยกำหนดไว้เพียงแค่ 90 MW
และในช่วงหลังคือระหว่างปี 2578-80 จะมีการเตรียมสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหรือเขื่อนจากต่างประเทศอีกประมาณ 3,500 MW รวมๆ กันอีกหลายเขื่อน โดยไม่รวมกำลังผลิตที่มีข้อผูกพันแล้ว ซึ่งหมายถึงโครงการที่เซ็นสัญญาไปแล้ว อาทิ ที่กำลังจะสร้างในปีช่วงปี 2567-70 จะไม่เอามานับรวมใน 3,500 MW
“เขื่อนในลาวถูกเชื่อมาเสมอโดยการโฆษณาจากภาครัฐว่า เป็นแหล่งพลังงานราคาถูกที่จะทำให้ค่าไฟทั้งประเทศไทยนั้นถูกไปด้วย พลังงานที่เหลือจากเขื่อนสามารถเอาไปผลิตไฮโดรเจนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆได้ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างให้ระบบไฟฟ้าของประเทศไทยมีความมั่นคง
“แต่ในความเป็นจริง ปัญหาจะเกิดตั้งแต่ช่วงก่อสร้างเลย เพราะจะส่งผลกระทบต่อคน สัตว์ ระบบนิเวศน์ ป่าไม้ พื้นที่การเกษตร การไหลเวียนของน้ำก็จะผิดไปจากธรรมชาติและกระทบวิถีชีวิตคน เขื่อนในลาวนั้นไม่ใช่แหล่งพลังงานราคาถูกอีกต่อไป” รศ. ดร.ชาลี ระบุ
รศ. ดร.ชาลี อธิบายเพิ่มเติมว่า การเอาพลังงานที่เหลือไปผลิตไฮโดรเจน แล้วเอามาเผาใหม่เพื่อผลิตไฟฟ้า เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ได้ไฟกลับมาแค่ 0.3 หน่วยเท่านั้น ถือว่าได้ไฟแพงขึ้น แล้วก็มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เยอะมาก เช่น การเมือง ภัยธรรมชาติ การควบคุมระดับน้ำ ฉะนั้น ที่บอกว่าสร้างเขื่อนแล้วจะได้ความมั่นคงด้านพลังงาน ไม่จริงเสมอไป
รศ. ดร.ชาลี กล่าวอีกว่า ช่วงแรกๆ ซื้อขายไฟจากเขื่อนกันราคาไม่เกิน 2 บาทต่อหน่วย หลังๆ ขยับเป็น 2.8-2.9 บาทต่อหน่วย ถ้าเทียบกับไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนของประเทศเราเอง ต้นทุนเฉลี่ยอยู่แค่ 1.38 บาทต่อหน่วยเท่านั้น มันมีต้นทุนแฝงที่ปรากฏในเขื่อนต่างประเทศที่เราไม่ได้รับการบอกเล่ามากนัก อย่างเขื่อนอยู่ไกลนอกประเทศ สายส่งก็ต้องยาว ไฟที่มาจากระยะไกลก็สูญเสียระหว่างทาง ระยะทางจากเขื่อนมาถึงจุดใช้ไฟฟ้าในภาคกลางของไทยไกลกันมาก ทำให้กระแสไฟฟ้าสูญไประหว่างทางถึง 6-10 % แล้วต้องลงทุนหลายหมื่นล้านบาททำสายส่ง เหล่านี้เองที่ถูกบวกมาในค่าไฟ นอกจากนี้ ยังมีราคาจากผลกระทบที่ไม่ถูกคำนวณเป็นต้นทุน เช่น ชีวิตชาวบ้านที่เปลี่ยนไป สุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย (Externalities)
และสุดท้ายคือเขื่อนในประเทศลาวไม่ได้เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทย ด้วยลักษณะของเขื่อนที่ไม่ใช่เขื่อนกักเก็บน้ำและปล่อยน้ำตามเวลาอย่างเขื่อนทั่วๆ ไปในบ้านเราอย่างภูมิพล แต่ใช้วิธีน้ำไหลเข้าเท่าไหร่ก็ปล่อยออกไปเท่านั้น จะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่จะมา ก็จะผลิตไฟได้เท่านั้น ไม่สามารถควบคุมสั่งการให้เขื่อนผลิตไฟตามจังหวะได้ ไม่ได้เพิ่มความมั่นคงในลักษณะนั้น
“เขื่อนมีการผูกพันสัญญาการซื้อไฟฟ้ายาวนาน 30 ปี ทำให้ไทยต้องผูกติดกับไฟฟ้าราคาแพงไปตลอดสัญญา สูญเสียโอกาสในการพัฒนาพลังงานทางเลือกหรือพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่เรามีศักยภาพและมีอย่างเหลือเฟือในประเทศและราคาถูกกว่า อาทิ แสงแดด” รศ. ดร.ชาลีกล่าว









FB LIVE RECORDING: Dialogue Forum 2 I Year 5: Pak Beng Dam, Mekong River Governance, and Thailand’s Electricity Needs
ไฟฟ้าที่ล้นเกินในระบบ
คุณธัญญาภรณ์ สุรภักดี หัวหน้าโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย หรือ JET in Thailand (Just Energy Transition) กล่าวว่า ทางองค์กรได้เคยจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผน PDP นี้ใน 5 ภูมิภาค ประชาชนไม่เห็นด้วยเรื่องการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนต่างประเทศ 3,500 MW กับการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติอีก 8 โรง
คุณธัญญาภรณ์ อธิบายต่อว่า สถานการณ์ด้านความมั่นคงทางพลังงานของไทยมีไฟฟ้าอยู่ในระบบล้นเกินความจำเป็นอยู่มาก และไม่เป็นธรรมกับประชาชนผู้บริโภค เนื่องจากโครงสร้างค่าไฟปัจจุบันออกแบบให้ต้นทุนทุกอย่างส่งผ่านบิลค่าไฟไปยังผู้บริโภคคือบิลค่าไฟ แม้จะมีหรือไม่มีการเดินเครื่องเพื่อผลิตไฟฟ้าก็ตาม หรือที่เรียกว่า “ค่าพร้อมจ่าย” (Ft) รวมไปถึงค่าก่อสร้างด้วย
ตัวเลขล่าสุดปี พ.ศ. 2566 ความต้องการใช้ไฟสูงสุดของประเทศอยู่ที่ 34,131 MW ถ้าจะสำรองกำลังไฟเพื่อความมั่นคงทางพลังงานปกติก็บวกไปอีก 15% กำลังการผลิตก็ควรจะประมาณ 40,000 MW แต่กำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีในระบบตอนนี้ มากล้นไปถึงเกือบห้าหมื่น (49,604 MW, ในส่วนของกฟผ. เป็นหลัก) หรือเกินเป็นหมื่น ยังไม่รวมโรงไฟฟ้าขนากเล็กๆ อีก
คุณธัญญาภรณ์ กล่าวต่อว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าส่วนเกินจากค่ามาตรฐานมีมากถึง 10,353 MW จริงๆ ที่ผลิตใช้เองในประเทศปริมาณสำรองก็เกือบจะเพียงพอค่ามาตรฐานแล้ว แต่มีส่วนเกินที่ไปซื้อไฟจากต่างประเทศเข้ามาอีก คำถามคือ จำเป็นที่ต้องซื้อไฟฟ้าจากลาวมาเพิ่มอีกหรือไม่ เฉพาะส่วนที่ซื้อจากประเทศลาวตอนนี้รวมทั้งสิ้น 10 โครงการ เป็นไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนประมาณ 4,500 MW เป็นไฟฟ้าพลังงานถ่านหินอีก (1,500 MW) รวมแล้วก็ประมาณ 6,000 MW
แล้วที่สำคัญ ยังมีโรงไฟฟ้าที่เซ็นสัญญาไปแล้วแต่ไม่เข้าระบบอีกก็คือ 3 เขื่อนที่ว่า รวมทั้งเขื่อนปากแบง และเซกอง อีกประมาณ 3,400 MW อย่างเขื่อนหลวงพระบาง มูลค่าการก่อสร้างอยูที่ประมาณ 150,000 ล้านบาท ปากแบง 100,000 ล้านบาท ลองเอา MW หาร เท่ากับทุกๆ 1 MW ที่ซื้อมา เราต้องจ่ายเงิน 110 ล้านบาท นี่คือปัญหาในภาพใหญ่ของเรา ภายใต้โครงสร้างค่าไฟแบบนี้ที่เราทุกคนต้องจ่ายโดยไม่มีทางเลือก แล้วแผน PDP ก็เติมเข้ามาเรื่อยๆ
นอกจากแผน PDP แล้ว ยังมี MOU ระหว่างไทยกับลาวที่คอยกำหนดทิศทางในการพัฒนาไฟฟ้าดังกล่าวอีก ซึ่งปัจจุบันเป็นฉบับที่ 6 เซ็นไปเมื่อปี 2565 อีกประมาณ 10,000 MW ฉบับแรกปี 2536 แต่จริงๆ แล้ว ไทยซื้อไปจากลาวตั้งแต่ปี 2517 จากเขื่อนน้ำงึม 1
แล้วยังมีอีก 5 เขื่อนที่อยู่นอกกรอบ MOU แล้วเราก็ยังซื้อไฟอยู่แต่ไม่ใช่สัญญาระยะยาว ระยะยาวก็คือ MOU ซึ่งขยายมาเรื่อยๆ ที่ปัจจุบันที่เราเห็นคือ 10 สัญญา 6,000 MW ในระบบที่ว่า ซึ่งไฟฟ้าจากพวกเขื่อนที่เซ็นไป รวมทั้งเขื่อนปากแบง จะเข้าระบบในปี 2576 แล้วจะทำให้เรามีไฟฟ้าจากลาวไปถึงประมาณ 9,300 MW (หรือ 7,900 MW เฉพาะไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อน, ที่อยู่ใน PDP 5 แรกจนถึงปี 2573 คือ 1,800 MW, 2578-80 คือ 3,500 MW) ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องไปขยายเพดานของ MOU เพิ่มขึ้นไปอีก
คำถามก็คือ เขื่อนอย่างปากแบงจำเป็นอยู่ไหม ภายใต้โครงสร้างพลังงานแบบนี้ ทั้งๆ ที่เราก็เห็นแล้วว่า มันเป็นความมั่นคงทางพลังงานที่ล้นเกินแบบนี้ ซึ่งมันไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภคเลย
“ถ้าเขื่อนปากแบงไม่ได้เดินหน้า มันจะเป็นผลดีกับทุกคนด้วยซ้ำ ลุ่มน้ำโขงตลอดสาย ปัจจุบันเต็มไปด้วยเขื่อน การไหลของน้ำไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ยิ่งช่วงเกิดภัยพิบัติหน้าน้ำก็ยิ่งเป็นตัวซ้ำเติมอุทกภัย ใครได้ใครเสีย ไม่มีปากแบตแนนี้เราก็จ่ายตังค์อยู่แล้ว แล้วถ้ามีปากแบงเพิ่ม เราต้องจ่ายเพิ่มอีก ในขณะที่ชุมชนที่อยู่ตามลำน้ำโขงจะได้รับผลกระทบเพิ่ม” คุณธัญญาภรณ์กล่าว
คุณธัญญาภรณ์ตั้งคำถามถึงทางเลือกด้านพลังงานว่า เราควรเดินหน้าเรื่องพลังงานทดแทนหรือพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ หรือไม่ในสถานการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก
ในขณะที่พลังงานหมุนเวียนในประเทศที่มีให้พัฒนาเหลือเฟือ อย่างการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ระยะสิบปีมานี้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างมากคุ้มทุนแล้ว ก็ไม่คิดพัฒนาให้มากขึ้น ตัวเลขการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศมีสัดส่วนอยู่แค่ 10 % ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2562-2567 ไม่ขยับไปเลย ขณะที่ตัวเลขการซื้อไฟจากลาวขยายขึ้นขยายขึ้นทุกปี
“ทำไมรัฐถึงไม่เลือกทางนี้ให้ประชาชน แต่เลือกทางที่ประชาชนไม่มีทางเลือก มันควรกลับไปปรับแก้ที่ต้นเหตุหรือไม่” เธอกล่าว
ผลกระทบข้ามพรมแดน
คุณปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า กฟผ. เร่งรีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเขื่อนปากแบง ในลักษณะที่กระบวนการศึกษาและประเมินผลกระทบตามแผนปฏิบัติการร่วมของประเทศสมาชิก MRC ยังไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งมาตรการป้องกันผลกระทบข้ามแดนตามข้อห่วงกังวลของประเทศสมาชิก MRC ยังไม่มีความชัดเจน
แม้โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบงจะดำเนินการในเขตของสปป.ลาว แต่เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ ไหลผ่าน 8 จังหวัดของประเทศไทย ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการดำรงชีพ แม่น้ำโขงจึงถือเป็นทรัพยากรร่วมของประชาชนทุกคน
การที่ กฟผ. ลงนามสัญญาดังกล่าวโดยไม่สนใจข้อวิตกกังวลของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 43 ประกอบมาตรา 57 ที่ให้การรับรองสิทธิบุคคลและชุมชนในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะนำข้อมูลความเห็นของประชาชนไปพิจารณาก่อนตัดสินใจดำเนินการอันใดที่จะกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน
คุณปรีดา กล่าวว่า กสม. ได้ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลในช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาทบทวนการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ กสม. เคยออกข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับโครงการเขื่อนปากแบงให้คณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2563 กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณารับซื้อพลังงานจากเขื่อนปากแบง นำหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ( UNDP on Business and Human Rights) ไปปรับใช้เป็นแนวทางพิจารณาปรกอบการตัดสินใจ โดยครม.สมัยนั้นรับข้อเสนอของกสม.และมอบให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการ
คุณปรีดายังกล่าวถึงกรณีน้ำเท้อจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2567 แล้วหากน้ำท่วมจากเขื่อนปากแบงเกิดขึ้น ก็จะอยู่ในระดับเดียวกับน้ำที่ท่วมเชียงราย น้ำเท้อจะไม่ได้เกิดเฉพาะแม่น้ำโขง แต่จะขยายไปถึงแม่น้ำสาขา น้ำอิง น้ำงาว พื้นที่ทำกิน พื้นที่เกษตร ชาวบ้านจะได้รับผลกระทบไปหมด
“กสม.ได้เห็นภาพอย่างเป็นรูปธรรมเลยว่า น้ำเท้อจะสร้างความเสียหายมากมายขนาดไหน กสม.ได้หารือกันด้วยว่า สิ่งที่ต้องดำเนินการติดตามต่อไป จะไม่จบแค่เรื่องเขื่อนปากแบง เพราะปัญหานี้เชื่อมโยงกับเรื่องพลังงาน นโยบายพลังงานแห่งชาติ แผนแม่บทในการผลิตไฟฟ้าของประเทศหรือ PDP,” คุณปรีดากล่าว
คุณปรีดากล่าวว่า กสม. ได้ออกระเบียบไต่สวนสาธารณะขึ้นมา ตามอำนาจหนาที่ของ กสม. และหัวข้อที่จะไต่สวนเรื่องแรกก็คือ PDP กับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน เพราะมีข้อที่ต้องไต่สวนมาก โดยเฉพาะเรื่องพลังงานไฟฟ้าสำรองที่มีมากล้นเกิน พลังงานหมุนเวียนที่สามารถพัฒนามากมายในประเทศ เหตุใดรัฐบาลจึงไม่เลือกพัฒนา
และ กสม. จะติดตามว่า แหล่งเงินทุนใดในประเทศไทยที่ผู้รับผิดชอบก่อสร้างเขื่อนปากแบงหรือที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการ มีการเตรียมแผนปรึกษาหารือกับองค์กรที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสียงให้แหล่งทุนคำนึงถึงปัญหา ผลกระทบจากโครงการเขื่อนนี้ด้วยเช่นกัน
ดร.พูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฏร กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ดำเนินการตั้งอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบเรื่องนี้ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย และเชิญหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้ง สทนช. กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม ประชาชนผู้ร้องเรียนถึงข้อวิตกกังวลผลกระทบจากเขื่อน และ กฟผ. พบว่า คำตอบด้านผลกระทบที่มีการแสดงความกังวลกันไว้หลายเรื่อง ยังไม่มีความชัดเจน
อย่างเรื่องน้ำเท้อ การสร้างแบบจำลองน้ำเท้อจากเขื่อนในภาวะปกติ ไม่ปกติ ให้เห็นฉากทัศน์ ยังไม่มีให้เห็น การลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าเขื่อนปากแบงที่ กฟผ.ลงนามไป กำหนดเงื่อนไขแนบท้ายสัญญาให้ผู้พัฒนาโครงการรับผิดชอบผลกระทบต่อประเทศไทย ต้องเปิดเผยข้อมูลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการน้ำ รายงานผลกระทบฯ ดังกล่าวก็ยังไม่มี
ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตบอกว่าถ้าได้รับรายงานเมื่อไหร่จะนำมาเปิดเผย แต่คณะกรรมาธิการฯ จะทำหนังสือเป็นทางการขอให้กฟผ.เปิดเผยเมื่อรายงานเสร็จสมบูรณ์ และขอให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชนต่อรายงานผลกระทบดังกล่าวด้วย
ดร.พูนศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควรหากลไกรองรับกรณีผลกระทบข้ามแดน ดูเรื่องข้อกฎหมายที่จะใช้ดำเนินการเรื่องผลกระทบข้ามแดน ซึ่งตอนนี้ไม่ได้มีปัญหาแค่เฉพาะเรื่องน้ำ แต่มีเรื่องฝุ่นควันจากการเผาด้วย หรือต้องให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่ ในส่วนคำตอบเรื่องผลกระทบเกี่ยวกับเขตแดนหลังระดับน้ำในแม่น้ำโขงเปลี่ยนไปเมื่อมีเขื่อนก็ยังไม่ชัดเจน กระทรวงกลาโหมได้แต่กังวลแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
นอกจากนี้ กรรมาธิการฯ จะมีหนังสือถึงกระทรวงพลังงานชี้แจงประเด็นการสำรองไฟฟ้ามากล้นเกินมาตรฐาน และราคารับซื้อไฟฟ้าต่างประเทศที่แพงกว่าการผลิตไฟฟ้าในประเทศ
“ทุกๆ เรื่องเมื่อกรรมาธิการฯ หาความชัดเจนมาได้หมด ก็จะรวบรวมเป็นแนวทางเสนอฝ่ายบริหารคือรัฐบาลได้พิจารณา” ดร.พูนศักดิ์ กล่าว
กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า PNPCA (Procedure for Notification Prior Consultation and Agreement)
ด้าน ดร.วินัย วังพิมูล ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สทนช. มีหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทยในคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงหรือ MRC (Mekong River Commission) ทำหน้าที่ได้เพียงนำข้อห่วงใย ข้อเสนอแนะ รวบรวมความคิดเห็นจากส่วนต่างๆ เข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า PNPCA (Procedure for Notification Prior Consultation and Agreement)
เวลาประเทศสมาชิกจะมีโครงการพัฒนาใดๆเกี่ยวกับการใช้แม่น้ำโขง ก็ต้องมาพูดคุยกันในกระบวนการ PNPCA ก่อน เพื่อให้เป็นไปตามกติกาการใช้แม่น้ำโขงอันมีหัวใจหลักคือใช้น้ำควบคู่ไปกับการอนุรักษ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะทำอะไรต้องเอาข้อมูลมาแบ่งปันกัน วางมาตรการตรวจสอบรักษาปริมาณการไหลของน้ำ ควบคุมคุณภาพน้ำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนลุ่มน้ำโขง
“PNPCA ไม่ใช่กระบวนการที่จะสามารถยับยั้งหรือคัดค้านโครงการพัฒนาใดๆของประเทศสมาชิกได้ แต่ละประเทศมีสิทธิเหนือดินแดนตัวเองอยู่ มันเป็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำระหว่างประเทศ เราไม่สามารถคิดเองเออเองฝ่ายเดียวได้” ดร.วินัย กล่าว
ดร.วินัย กล่าวอีกว่า การทำงานบนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจำเป็นต้องคำนึงถึงกฏกติกาที่วางไว้ร่วมกัน เรื่องอื่น เช่น ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นจากโครงการจะดูแลผลกระทบอย่างไร เรื่องนี้ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นในทางปฏิบัติว่า ถ้าเกิดความเสียหายต้องไปฟ้องศาลโลกยังไง จะพิสูจน์ทราบได้ไง ใครจะฟันธงว่าเดือดร้อนเพราะเขื่อน ซึ่งจะเห็นว่ามันก็ไม่ง่าย
ในโอกาสที่ฝ่ายไทยเป็น CEO ใน MRC จะผลักดันเรื่องการลดผลกระทบข้ามแดน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำภายในประเทศ
“ขอให้มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน” ดร.วินัย กล่าว
ดร.วินัย กล่าวว่า เขื่อนปากแบงเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า และไทย ในฐานะที่อยู่ห่างจากเขื่อนประมาณ 100 กิโลเมตร รวบรวมข้อห่วงใยเสนอไปในกระบวนการปรึกษาหารือฯ ว่า กังวลเรื่องน้ำเท้อ เพราะทางลาวแจ้งว่าเมื่อมีเขื่อนปากแบง ระดับกักเก็บน้ำของเขื่อนจะอยู่ที่ 340 เมตรจากระดับน้ำทะเล
จ. เชียงรายของไทยจะรับผลกระทบมากสุดถ้ามีน้ำเท้อจากเขื่อนปากแบง และแสดงความกังวลด้วยว่า ถ้าเขื่อนจากประเทศจีนปล่อยน้ำลงมา หรือมีภัยพิบัติช่วงฤดูน้ำ สถานการณ์น้ำท่วมจะยิ่งรุนแรงขนาดไหน ระบบนิเวศน์จะเปลี่ยนไปอย่างไร
จ. เชียงรายของไทยเป็นแหล่งวางไข่ของปลาบึก เป็นจุดที่จับปลาบึกได้มากที่สุด สัตว์น้ำที่สร้างรายได้ให้ประชาชนจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนหรือไม่ การเคลื่อนย้ายของตะกอน ปัญหาเส้นแบ่งเขตแดน ปัญหาต่อระบบนิเวศน์อื่นๆ ความปลอดภัยของเขื่อน การรองรับแผ่นดินไหวที่เกิดบ่อยในภูมิภาค เขื่อนแตกเขื่อนพังจะทำอย่างไร
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพแม่น้ำโขงจากการพัฒนาที่มีต่อวิถีชุมชน อาชีพรายได้ เหล่านี้จะทำอย่างไร เขื่อนปากแบงอยู่ระหว่างผู้ดำเนินโครงการนำข้อห่วงใยของประเทศสมาชิกไปพิจารณาทบทวน และว่าจ้างที่ปรึกษามาศึกษาเพิ่มเติมในข้อห่วงใยต่างๆ เกี่ยวกับผลกระทบข้ามพรมแดน รวมทั้งให้ที่ปรึกษาไปดำเนินการทำแบบจำลองน้ำเท้อ สร้างฉากทัศน์ต่างๆให้เห็นทั้งช่วงเวลาปกติ ช่วงฝนตกหนักปริมาณน้ำฝนเยอะ ดร.วินัย กล่าว
ดร.วินัย กล่าวว่า เมื่อสิ้นสุดกระบวนการ PNPCA ประเทศต่างๆ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการร่วม เรียกว่า Joint Action Plan ทางประเทศลาวเจ้าของโครงการจัดทำเอกสารตอบสนองให้คำมั่นสัญญาว่า จะดูแลเรื่องที่เป็นข้อกังวลในโครงการ ประเทศสมาชิกก็ติดตามให้การดำเนินการเป็นไปตามคำมั่นสัญญา
สำหรับเขื่อนปากแบง มีส่วนเกี่ยวข้องกับไทยตรงที่ กฟผ. ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับทางเขื่อน กฟผ. ต้องพิจารณาเอาข้อห่วงกังวลทั้งหลายไปพิจารณากำกับในสัญญา ผู้พัฒนาโครงการต้องรายงานผลกระทบข้ามพรมแดน จัดทำรายงานส่งให้ กฟผ. ที่สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้รายงานเหล่านั้นถูกส่งออกมาให้หน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมพิจารณา และแสดงความคิดเห็น ดร.วินัย กล่าว
“MRC ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาการพัฒนาแม่น้ำโขงในรูปแบบการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบวงกว้าง และกำลังทำแผนเชิงรุก ศึกษา มองหาทางเลือกรูปแบบอื่นๆในการพัฒนาพลังงานจากแม่น้ำโขงที่ก่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดให้ประเทศสมาชิกได้พิจารณา เช่น เขื่อนเล็กๆ เป็นอ่างขนมครกบนที่สูง สูบน้ำขึ้นลงคล้ายแบตเตอรี่ เป็นพลังงานสะอาดไม่มีผลกระทบน้ำเท้อ แบบนี้ก็จะลดโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ไปได้มาก” ดร.วินัย กล่าว
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
คุณนิวัฒน์ ร้อยแก้ว (ครูตี๋) ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ และผู้รับรางวัล 2022 Goldman Environmental Prize กล่าวว่า เขื่อนปากแบง เป็นโครงการที่มีปัญหามากตั้งแต่เริ่มกระบวนการ PNPCA เพราะเป็นกระบวนการที่ทำให้การสร้างเขื่อนดูมีความชอบธรรม ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ตอนเกิดเขื่อนไซยะบุรีแล้ว
กระบวนการนี้สร้างมาเพื่อปรึกษาหารือ ไม่มีขอบเขตในการระงับยับยั้ง ลึกกว่านั้นนำพาให้เกิดการสร้างเขื่อนให้มีเหตุผลมากยิ่งขึ้นของฝ่ายที่อยากสร้างเขื่อน การแจ้งข้อมูลให้ประชาในพื้นที่รู้ผลกระทบของเขื่อนก็ไม่มี
“เรามองว่า MRC ก็เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดเขื่อนมากขึ้น ตั้งแต่เขื่อนปากแบงเข้ากระบวนการ PNPCA มาหลายปี ป่านนี้ก็ยังไม่มีคำตอบอะไรเกี่ยวกับข้อห่วงใยที่ชาวบ้านต้องการคำตอบ เรื่องน้ำเท้อ เรื่องผลกระทบพันธุ์ปลา ผลกระทบพื้นที่การเกษตร การเปลี่ยนแปลงเขตแดน เหล่านี้หาคำตอบไม่ได้ จนเกิดการเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้ากันไปแล้ว
“กระบวนการ PNPCA ใช้ไม่ได้เลย มันต้องปรับปรุง เขื่อนปากแบงวันนี้ ถ้าพูดถึงหลักธรรมาภิบาล หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม ความโปร่งใส การมีส่วนร่วม สำนีกรับผิดชอบ การมองเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ พวกนี้มันไม่มีเลย ไม่มีธรรมาภิบาลใดๆทั้งสิ้น” ครูตี๋กล่าว
ครูตี๋ กล่าวว่า กรรมาธิการแม่น้ำโขงที่ดูแลและบริหารจัดการน้ำโขงแล้วได้แบบนี้ควรต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่หมด จะคิดว่าเขื่อนเป็นพลังงานสะอาดโดยไม่คำนึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประชาชน ไม่ได้แล้ว ปล่อยมา 20-30 ปี มีเขื่อนผุดขึ้นมากมายตลอดลำน้ำโขง ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำไหลผิดปกติจากธรรมชาติตามฤดูกาล การขึ้นลงของน้ำไม่เป็นปกติ การลดลงของตะกอนแม่น้ำมีผลต่อระบบนิเวศน์ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับการมีเขื่อนทั้งสิ้น
“ภาครัฐไทย หน่วยงานของไทยเองก็ต้องปรับวิธีคิดใหม่เรื่องการส่งเสริมพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อน มิฉะนั้น ประชาชนลุ่มน้ำโขงจะต้องเผชิญเหตุการณ์เกี่ยวกับน้ำรุนแรงเหมือนภัยพิบัติน้ำท่วมที่เชียงรายอีกมากมาย” ครูตี๋ กล่าว
รศ.ดร.ชาลี กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายภาคส่วนของไทยหวาดหวั่นต่อผลกระทบข้ามแดนหลายด้านที่อาจเกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนปากแบง และยังไม่เห็นทางที่จะระงับยับยั้งโครงการนี้ได้ กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้าฯ ก็ไม่ใช่กระบวนการที่จะมีกลไกอะไรใช้ระงับยับยั้งโครงการนี้ได้
รศ.ดร.ชาลีเสนอให้ กฟผ. เลิกซื้อไฟจากเขื่อน
“กฟผ. ต้องลุกขึ้นมาแสดงความกล้าหาญเลิกเซ็น PPA เพราะหลักของเขื่อนนี้คือสร้างขึ้นมาเพื่อผลิตไฟฟ้าขายประเทศไทย ถ้าประเทศไทยไม่ซื้อ เขื่อนก็ไม่เกิด โครงการนี้ก็จะยุติทันที นี่เป็นอำนาจของเราด้วย เราสามารถเลือกได้เองไม่ต้องพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากต่างประเทศ” รศ.ดร.ชาลี กล่าว
รศ.ดร.ชาลี กล่าวว่า ถ้าจะหยุดเขื่อนลักษณะเดียวกันนี้ในอนาคต ก็ต้องหยุดที่แผนแม่บทในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP แผนแม่บทตัวนี้ เป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้ประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาโครงการเขื่อนบริเวณลุ่มน้ำโขงขึ้นมาจำนวนมาก เพราะฉะนั้น PDP ฉบับล่าสุดที่กำลังจะคลอดออกมา ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันกดดันนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้แสดงความกล้าหาญ ดูแลไม่ให้นำเอาการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนต่างประเทศเข้ามาอยู่ในพอร์ตพลังงานของประเทศไทย
คุณธัญญาภรณ์ กล่าวว่า กฟผ. ยังทบทวนได้อยู่ แม้จะมีการเร่งรีบเซ็นสัญญาซื้อขายกันไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 แต่ภายในหนึ่งปี หากเจ้าของโครงการไม่สามารถหาเงินทุนมาก่อสร้าง กฟผ. มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาซื้อขายได้ เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรม ดังนั้น ต้องช่วยกันส่งเสียงถึง กฟผ.ให้พิจารณาใช้สิทธิ์นั้น
ในส่วนของ PDP ฉบับใหม่ ก็ควรต้องมีการทบทวน ถ้ามองระยะยาว ต่อไปตลาดไฟฟ้าจำเป็นต้องเปิดให้มีการแข่งขันมากกว่านี้ เพราะตอนนี้มันเป็นกิจการสินค้าที่ผู้ซื้อไฟ ผู้ใช้ไฟ ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ เลย เธอกล่าว
“จริงๆ ผู้ใช้ไฟควรสามารถที่จะเลือกซื้อหรือจะเลือกผลิตไฟใช้เองได้ แต่กลไกต่างๆยังไม่เอื้อเรื่องนี้เท่าใดนัก ถ้าการผลิตไฟฟ้ากระจายศูนย์ได้ ความจำเป็นที่จะพึ่งพิงแหล่งผลิตพลังงานขนาดใหญ่ก็จะลดลง ปัญหาที่จะมาจากการเกิดแหล่งผลิตพลังงานขนาดใหญ่ก็พลอยลดน้อยลงไปด้วย” คุณธัญญาภรณ์ กล่าว
Freelance journalist และอดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์สายการศึกษาและรายงานพิเศษ