ผู้พัฒนาโครงการเขื่อนปากแบงและบริษัทที่ปรึกษาฯ (Pak Beng Hydropower project) เปิดเวทีรับฟังผลกระทบข้ามแดนเป็นครั้งแรกในระหว่างการจัดทำรายงานฉบับใหม่ในระหว่างวันที่ 18-21 มิถุนายน อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ยืนยัน ระดับน้ำจะไม่ส่งผลกระทบกับประชาชนในฝั่งไทย ในขณะที่ชาวบ้านห่วงกังวลเรื่องผลกระทบและคงจุดยืนคัดค้านการสร้างเขื่อนฯ ดังกล่าว
โครงการเขื่อนปากแบง ตั้งอยู่เหนือเมืองปากแบงประมาณ 15 กิโลเมตร และห่างจากบ้านห้วยลึก อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ประมาณ 97 กิโลเมตร มีกำหนดเริ่มก่อสร้างเดือนตุลาคม 2568 เริ่มเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าเดือนมีนาคม 2575 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2576 โดยมีบริษัท China Datang Overseas Investment Co., Ltd. และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมลงทุนโครงการฯ ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำรายงานผลกระทบข้ามพรมแดนตามข้อตกลงการซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหลังจากมีการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ และหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะเข้าสู่กระบวนการขอกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ของไทยต่อไป
ในวันแรกของเวทีรับฟังผลกระทบข้ามแดนที่บ้านห้วยลึก อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นการชี้แจงโครงการและรับฟังความคิดเห็นโครงการก่อสร้าง “เขื่อนปากแบง” ในแขวงอุดมไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จากชาวบ้านในฝั่งไทยในหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ใกล้เขตแดนไทย-ลาว ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบข้ามพรมแดนโดยตรง อาทิ บ้านห้วยลึก และบ้านแจมป๋อง อ.เวียงแก่น และบ้านดอนมหาวัน อ.เชียงของ
ผู้แทนที่ปรึกษาโครงการฯ ระบุว่า เขื่อนปากแบงเป็นเขื่อนประเภท “ทดน้ำ” เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของน้ำอย่างมีนัยสำคัญ ระดับน้ำที่กักเก็บจะอยู่ที่ 340 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางในฤดูน้ำหลาก และ 335 เมตรในหน้าแล้ง ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่า ระดับน้ำจะไม่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนหรือทรัพย์สินของชาวบ้านในฝั่งไทย แต่หากเกิดผลกระทบในภายหลัง โครงการฯ มีแผนชดเชยทั้งในส่วนของที่ดินทำกินและอาชีพที่ได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนและเครือข่ายในพื้นที่ได้แสดงความกังวล ซึ่งประชาชนในพื้นที่แสดงความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วม ที่ดินทำกิน และผลกระทบต่ออาชีพของคนในชุมชน รวมทั้งสารพิษในแม่น้ำโขง ซึ่งอาจถูกซ้ำเติมจากการสร้างเขื่อน และตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ผ่านมา ว่าควรเปิดกว้างและมีความชัดเจนมากขึ้น


จากการรายงานของสำนักข่าวชายขอบ (Tranborder News) ดร.วรวิทย์ ผดุงศรีบวร รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ Pakbeng Power ได้ให้รายละเอียดว่า เขื่อนปากแบงเป็นเขื่อนออกแบบให้น้ำเข้ามาเท่าไหร่ก็ไหลออกไปเท่านั้น มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนและมาตรการลดผลกระทบ
เขื่อนมีระดับน้ำที่หน้าเขื่อนสองระดับกักเก็บ ได้ศึกษาและลดผลกระทบ โดยจะกักเก็บที่ 340 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ในฤดูน้ำคือเดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน ส่วนในฤดูแล้งในเดือนธันวาคม-พฤษภาคม กักเก็บที่ 335 ม.รทก. ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว เขื่อนปากแบงจะมีประตูระบายน้ำ 14 บาน ซึ่งรวมประตูระบายตะกอน อัตราการไหลของน้ำก็จะไหลออกแบบ run off river มีกังหันผลิตไฟฟ้า 16 ตัว มีทางเดินเรือ และทางผ่านปลา ซึ่งออกแบบตามข้อแนะนำโดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC)
โครงการวางแผนจะเริ่มก่อสร้างตุลาคม 2568 โดยจะก่อสร้างที่ฝั่งขวาก่อน ขณะนี้สัญญาเงินกู้ลงนามแล้ว โดยมีเงื่อนไขให้ทำการศึกษาฯ เพิ่มเติม และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีเงื่อนไขให้ทำกองทุน 45 ล้านบาทเพื่อพัฒนากองทุนรอบโรงไฟฟ้าเหมือนกับทุกโครงการในแม่น้ำโขง
คุณเยาวภา ชูวงศ์ ผู้บริหารโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง บริษัททีมคอนซัลติ้งเอนจิเนียริ่งแอนด์แมนเนจเมนท์จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TbEIA) ตั้งประเด็นศึกษาว่า เขื่อนนี้ที่จะก่อสร้างในแขวงอุดมไซ จะมีอะไรบ้างที่จะข้ามพรมแดน
รายงานนี้ได้ศึกษามานานแล้วในฉบับที่ส่งให้รัฐบาลลาวประกอบการเข้ากระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) ในช่วงเวลานี้ จึงเป็นการศึกษาให้เป็นปัจจุบัน เพิ่มในส่วนของมาตรการตามแนวทางที่กำหนดไว้โดย MRC และกฎหมายสิ่งแวดล้อมของลาวระบุว่า หากคาดว่าจะมีผลกระทบข้ามพรมแดน ให้จัดทำการศึกษานี้ เป็นการคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดจากการดำเนินโครงการว่า ปัจจัยเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไขเพื่อลดผลกระทบ ซึ่งตอนนี้ยังไม่สิ้นสุดการจัดทำรายงาน ทางบริษัทฯอยากฟังข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุง
คุณเยาวภากล่าวว่า เขื่อนเป็น “ฝายทดน้ำ” เรื่องน้ำหรืออุทกวิทยาเป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อมีโครงการแล้วน้ำที่จะเท้อมาถึงไหน สูงเท่าไหร่ ตอนนี้โครงการยังไม่เกิด ก็ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่มีมาตรฐานสากลทำนายระดับน้ำ การใช้แบบจำลองจะทำให้ข้อมูลทางเทคนิคที่ซับซ้อนเข้าใจง่าย จะเทียบกับจุดต่ำสุดของ 8 หมู่บ้าน ผลการศึกษาออกมาว่า ไม่ว่าจะเดือนไหน หรืออัตราการไหลในปริมาณต่างๆ น้ำจะไม่มีการเปลี่ยน แปลว่า มีหรือไม่มีโครงการ น้ำจะไม่ไปถึง อ.เชียงแสน น้ำจะไม่นิ่งแช่
ที่บริษัทฯ กังวลคือแก่งผาได แม้ว่าจะเป็นจุดที่ต่ำ แต่ก็ยังปลอดภัยคือ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมได้แจ้งทางวิศวกรรมให้ทำงานเพื่อลดระดับกักเก็บน้ำที่หน้าเขื่อนลง ให้ลดลงจนแก่งผาไดจะมียอดแก่งโผล่เพื่อให้มีกิจกรรมต่างๆ ได้ รวมถึงแจมป๋องและหาดบ้านมหาวัน แม้จะผลิตไฟได้น้อยลง เป็นมาตรการลดระดับกักเก็บ

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า โครงการเขื่อนปากแบงเป็นเขื่อนที่กระบวนการทั้งหมดไม่โปร่งใส ไม่ชัดเจนแม้แต่กระบวนการเดียว เพราะทำ PNPCA ที่ชาวบ้านแสดงข้อกังวลมากมายแต่ก็ตอบไม่ได้ จนได้มาเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับไทย 29 ปี ทั้งๆ ที่ตอบปัญหาประชาชนไม่ได้สักข้อ เป็นเขื่อนที่อัปยศมาก ไม่ถูกต้องเลยซักกระบวนการ เซ็นสัญญาแล้วจึงให้มาศึกษาทีหลัง
“ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า การศึกษาผลกระทบข้ามพรแดนนี้เป็นเงื่อนไขของสัญญากู้เงิน ผมขอให้สถาบันการเงินรับรู้ ว่าแม้การศึกษาครั้งนี้ส่งแล้ว แต่ไม่สมบูรณ์ ทำเพียงเพื่อให้อนุมัติเงินกู้ ที่มาพูดนี้ผมไม่เชื่อเลยนะ จะมาชดใช้ 30-40 ปี ใครจะทำ แล้วแม่น้ำสาขาท่วมเข้าไป 20 กว่ากม.แม่น้ำอิง แม่น้ำกก คุณตอบได้หรือไม่?” นายนิวัฒน์ตั้งคำถาม
คุณปิยะนันท์ จิตต์แจ้ง กลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า ชาวบ้านพบว่าน้ำท่วมปี 2567 แม้ยังไม่มีเขื่อนแต่ก็ท่วมแก่งผาได หากมีเขื่อนกั้นน้ำโขงและน้ำสาขาจะไหลช้าลงแค่ไหน ขอบอกถึงผู้ให้กู้เลยว่า ยังไม่ต้อเซ็นเงินกู้ ขอให้ท่านตอบว่าท่านพิจารณาอย่างไร ท่านบอกว่าเขื่อนจะกักเก็บที่ 340 เมตร แต่ชาวบ้านบอกว่าน้ำป่ามา ซึ่งก็คือน้ำ หากมีแบบจำลองคณิศาสตร์ คำนวณมาเลยว่าน้ำมาแค่ไหน น้ำโขงยกระดับทำให้น้ำสาขาระบายยากมาก ปภ.แม่สายบอกว่าน้ำระบายยากมาก ผลกระทบไปถึงแม่สาย
คุณเพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ International Rivers กล่าวว่า ขอพูดในนามประชาชนชาวเชียงราย ซึ่งพบว่ามีการทำเหมืองของจีนในต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย มีการพบสารการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำ และหากแม้ว่าตัวเลขของบริษัทจะถูกต้องว่าน้ำไม่ท่วมหมู่บ้าน แต่แม่น้ำโขงแห่งนี้จะกลายอ่างพิษที่รองรับสารโลหะหนักจากแม่น้ำกก สาย รวก ชาวบ้านจะอยู่อย่างไร ในขณะนี้ต้นน้ำกกที่รัฐฉานมีเหมืองแร่แรร์เอิร์ทแค่ 2 แห่งเท่านั้น แต่หากมีเพิ่มขึ้นอีก ปล่อยสารพิษลงมาอีก แล้วหากเขื่อนปากแบงเกิดขึ้น คิดว่าบริษัทไม่น่าจะสามารถรับมือปัญหาอุบัติใหม่นี้ได้
“ท่านจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความหนักหนาสาหัสที่เกิดขึ้นนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของเขื่อนปากแบงแม้ลงนามไปแล้ว ก็สามารถพิจารณายกเลิกได้ เกิดปัญหาสารพิษในแม่น้ำแล้ววันนี้ยังจะสร้างไปทำไม ลูกหลานของเราจะกำลังจะต้องเจ็บป่วยจากโรคทีเกิดจากอ่างพิษแห่งนี้” นส.เพียรพร กล่าว
คุณไพรินทร์ เสาะสาย มูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ กล่าวว่า ได้มีข้อเสนอส่งไปยังกระทรวงพลังงานว่ารายงานที่เพิ่งได้รับนี้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งข้อมูลไม่ครบ บริษัทควรแปลเพื่อให้ชาวบ้านได้มีโอกาสอ่านก่อน การรับฟังครั้งนี้ให้ข้อมูลชาวบ้านเพียง 7 หน้า โดยเฉพาะประเด็นระดับน้ำ และข้อมูลเป็นของกรมทรัพยากรน้ำตั้งแต่ปี 2549
สำนักข่าวรายงานว่า บรรยากาศในที่ประชุมเต็มไปด้วยความกังวลใจ ชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งต่างพูดคุยถึงความวิตกกังวลว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้างกับแม่น้ำโขง
นายทองสุข อินทวงศ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านห้วยลึก กล่าวว่าโครงการเขื่อนปากแบงชาวบ้านกังวลมานานหลายปี ถามผู้รู้ก็บอกว่าสร้างห่างจากบ้านเราแค่ 90 กว่ากม. จะมีผลกระทบไหม กรมทรัพยากรน้ำมาทำหลักพิกัด ปักหมุดตามที่ผู้พัฒนาโครงการว่าจะทำให้น้ำอยู่ระดับไหน กรมฯ มาปักหลักและอธิบายว่าหากสร้างเขื่อนจะกักน้ำ 350 ม.รทก. เป็น 340 ม.รทก. ซึ่งในความเป็นจริงหากกักเก็บที่ 335 ม.รทก. ก็ยังเอ่อท่วมชุมชนของเราอยู่ดี บริษัทที่ปรึกษามาสำรวจและประชุมที่อำเภอเวียงแก่น ชาวบ้านรับทราบว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นแน่นอน กระทบวิถีชีวิต ไม่อยากได้
“ผมสู้มา ห่วงกังวลมากโดยตลอด สิ่งที่ชาวบ้านรู้ก็คือ หากท่านอธิบายแบบนี้ ชาวบ้านไม่เข้าใจ หากท่วมใครจะรับผิดชอบ เราจะไปอยู่ที่ไหน ให้ย้ายอย่างไร ผลกระทบทั้งหมู่บ้าน ถนนเส้นนี้จะท่วมถูกตัดขาด หากเราไม่ช่วยกันหาข้อมูลที่แท้จริง วันหนึ่งจะเดือดร้อน ตอนนี้ชาวบ้านตื่นตัว อยากรู้เรื่อง หากเกิดปัญหาใครจะรับผิดชอบ หากเกิดผลกระทบก็จะเป็นไปตลอดกาล ลูกหลานจะว่าพ่อแม่ตายายทำไม่เสนอวิธีอื่นในการผลิตไฟฟ้าที่ดีกว่านี้ ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ ไม่เหมือนของผู้ใหญ่ของบริษัท หากเกิดผลกระทบแล้วเราจะเอาอะไรกินกัน”, อดีตผู้ใหญ่บ้านกล่าว
นายชัยวัฒน์ ดวงธิดา ชาวบ้านห้วยลึก กล่าวว่าพวกตนหาปลาทุกวัน ปีๆ ได้เงินสี่ห้าแสนบาท หากบริษัทกั้นเขื่อนไว้ ปลาน้ำโขงขึ้นไม่ได้ น้ำเชี่ยว เป็นโคลนเชี่ยว ระดับน้ำที่ว่ากักเก็บสูงสุด 340 ม.รทก ปีที่แล้วที่แก่งผาได น้ำท่วมสูงถึง 357 ม.รทก. เมื่อสิงหาคม 2567 หอประชุมตรงนี้ก็ท่วม
“ท่านว่าจะระบายน้ำทัน ไม่ทันหรอกครับ บอกจะเยียวยา แต่บ้านผมฉโนดที่ดินก็ไม่มี ชาวบ้านจะได้อะไร ปีที่แล้วน้ำท่วมสวนส้มโอมากมายจนเสียหาย ภาครัฐยังไม่สามารถเยียวยาได้ครบ โครงการเขื่อนของท่านสำเร็จท่านก็ไป ผมจะทำอย่างไร ให้ทำแพเหรอ งบที่ท่านจัดไว้มันจะพอมั้ย จะแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีมั้ย
“ถ้าน้ำขึ้นถ้าสร้างเขื่อน ผลกระทบจากจุดที่แก่งผาได ยังปันเขตแดนไม่เสร็จ ลาวเขาบอกว่าเขตแดนไทยออกจากฝั่งไปแค่ 3 เมตร เราจะออกไปหาปลาได้อย่างไร หมุดที่วางไว้ก็จะท่วม นี่คือปัญหา ไม่ใช่แค่สี่ห้าปี เป็นสามสิบปีโน่น” นายชัยวัฒน์กล่าว
นายพัน ปัญญาเอก ชาวบ้านห้วยลึกกล่าวว่า การสร้างเขื่อนมีการกระทบหนักแน่ โครงการอาจมาบอกว่าเขื่อนยังไม่ทันสร้าง แต่ทางเหนือบนแม่น้ำโขงในจีนเขื่อนสร้างเยอะแล้ว เกษตรกรชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ ผลิตผลเคยได้กินจากริมน้ำโขง แต่เขาสร้างเขื่อนทางเหนือเรากระทบมาเยอะแล้ว ถ้าสร้างเขื่อนปากแบงตอนใต้อีกเราจะยิ่งลำบาก
“พวกเราชาวบ้านตัวเล็กๆ ไม่มีอำนาจ คนไปหาปลาเหลือกินจะได้ขายมีรายได้มาบ้าง แต่ก็ต้องจบไป ความเดือดร้อนของประชาชนจะเกิดจริงๆ” นายพันกล่าว
คุณจันยา จันทิพย์ สมาชิกเครือข่ายผู้หญิงลุ่มน้ำโขง กล่าวว่า ขอเป็นตัวแทนผู้หญิงในการพูด ตอนนี้จะสร้างไม่สร้างเขื่อนปัญหาเกิดอยู่แล้ว อยากถามว่าหากสร้างเขื่อนจริงอาชีพผู้หญิงห้วยลึกที่เคยหาปลาตามฝั่งแม่น้ำโขง ปลูกผัก หากดินตรงนี้หายไปเพราะเขื่อนปากแบง บริษัทจะชดเชยเยียวยาอย่างไร
“เราไม่อยากได้เงินอยากได้ที่ดินของเรา พื้นที่ของเราหายไปเราจะมีอาชีพอะไรมาทดแทนได้อย่างไร” นางจันยากล่าว
อ่านบทวิเคราะห์เพิ่มเติมในรายงานจากเวทีเสวนา “เขื่อนปากแบง, ธรรมภิบาลเขื่อนแม่น้ำโขง, และพลังงานไฟฟ้าของประเทศ” I Pak Beng Dam, Mekong River Governance, and Thailand’s Electricity Needs?