Credit: Maitree Jongkraijug

20 ปี “งานจัดตั้ง” จากภัยพิบัติสึนามิ

จำนงค์ จิตรนิรัตน์ กรรมการมูลนิธิชุมชนไท ถอดบทเรียนการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับงานอาสาฯและเครือข่าย ผ่านงานจัดตั้งจากภัยพิบัติสึนามิที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสนับสนุนการเติบโตจากภายใน เพื่อส่งต่อประสบการณ์และบทเรียนที่ควรจดจำสู่ภัยพิบัติอื่นๆในภาวะโลกเดือด

“มนุษยธรรม”

เราเป็นทีมที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ลงพื้นที่สึนามิโดยไม่มีพื้นที่เป้าหมาย พวกเรากำลังเดินทางไปจังหวัดภูเก็ต แต่พอได้ฟังข่าวจากวิทยุ ก็เปลี่ยนไปบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา เมื่อถึงบ้านน้ำเค็ม ด้วยความตระหนกต่อภาพที่เห็นและไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ได้แต่พยายามตั้งสติ เราไม่ได้เริ่มที่เป้าหมายการจัดตั้ง พื้นที่งานจัดตั้งต้องมีการเตรียมการมากกว่านี้ แต่ภาพที่เห็น สถานการณ์ที่เป็น เราได้แต่เริ่มจาก “มนุษยธรรม” 

ในช่วงเริ่มต้น เพื่อนเราบางคนฉากหลบไปช่วยหาศพ ไปที่กองควันไฟที่เกิดเป็นจุดๆ ที่บางคนต้องเผาญาติตัวเองก่อน ในภาวะนั้น เราส่วนหนึ่งเริ่มจากหาคน ”คนที่รอด” เพื่อหาจุดเริ่มต้น เพื่อถามว่า… ต้องการให้ช่วยอะไร? ณ ที่นั้น มีคนที่กำลังเศร้า มีคนตื่นตระหนก ตามหาลูกหลาน มีคนเสียสติ และมีคนวุ่นกับของบริจาค

เราไม่ได้เริ่มที่พวกเขาโดยตรง แต่เราเริ่มต้นหาข้อมูลจาก “คนที่ยังไม่มีอะไรทำ” คนที่กำลังมองสิ่งต่างๆ ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าหาเขา และชวนพูดชวนซักถามว่า “ควรจะชวนกัน ช่วยอะไรกันดี?” เราเข้าหาอย่างอดทนต่ออากัปกิริยาที่อาจคาดไม่ถึง เราต้องซึมซาบว่า ทุกอย่างที่นี่ “ไม่ปกติ” จากนั้น เราประมวลคำตอบ จนพบคำตอบ และเห็นด้วยตอบรับในเงื่อนไขเล็กๆ

และเราได้พบคนหนุ่มสองคน 

“น้อง… ของบริจาคมากแล้ว ทีนี้… น่าจะชวนกันช่วยทำอะไรกันดี?”

“…ผมว่าทำส้วม คนไม่มีส้วม” เขาตอบแบบให้พ้นๆ ไปที จากนั้นเขาก็ไม่สนใจเราอีก เพราะสภาพการแต่งกายของเราก็ไม่ต่างจากผู้มาขอสิ่งของบริจาค 

เราหันไปปรึกษากระซิบกันเงียบๆ เพราะเราไม่ได้มีเงินมาเยอะด้วย เหมือนมาสำรวจมากกว่า แต่เราก็ตัดสินใจตามกำลังและความรู้สึกว่าต้องทำอะไรบ้างในภาวะนี้ เราเดินกลับไปที่เขา และบอกว่า “ตกลง” จนเขามองเราอย่างแปลกใจ 

แต่เรามีเงื่อนไขมากกว่านั้น

“ตกลง แต่เรามีแต่ของวัสดุให้ ต้องหาคนมาช่วยกันทำ ได้มั๊ย?” เราแข็งใจถาม ในภาวะนั้นมันเสี่ยงกับคนที่กำลังสูญเสียอย่างหนัก แต่เราเตรียมใจแล้ว ยังไงก็ต้องลอง

“ได้ครับ ผมจะหาคนช่วยกันทำ พี่มีให้จริงม้าย” เขาตอบแบบไม่ลังเล

“สั่งของที่ไหนได้มั่ง” เรายืนยัน

หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ คือการเริ่มต้นเปิดทางของกระบวนงานจัดตั้ง ทีมทำห้องสุขาให้ชาวบ้าน เป็นกลุ่มย่อยหน่วยแรก เรามองเขาอย่างวิเคราะห์ มีคนที่ยังมีแรง มีใจกับคนอื่น ซึ่งจริงๆ แล้วสองเด็กหนุ่มนั้นอาจตอบว่า “ผมขอเงิน ขออาหาร ขอที่พักขอเงินไปเผาศพพ่อ (ซึ่งภายหลังเพิ่งรู้ว่าพ่อกับ ญาติของเขาเสียกว่าสามสิบคน)” ซึ่งเราก็ต้องช่วยแน่ๆ

วิชางานจัดตั้ง สอนให้เรามีความเชื่อมั่นในการเติบโตของผู้คน เมื่อเราพบบุคคลสองคนในภาวะการณ์เช่นนี้ มันต้องมีอีก หลังจากนั้น “ความช่วยเหลือแบบไม่ให้ทุกอย่าง” ก็เกิดขึ้น เขามองเราอย่างเป็นมิตรมากขึ้น เมื่อปรึกษาหารือกันมากขึ้นว่าจะทำกี่ห้อง เมื่อประเมินจากผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาแถวนั้น เราก็สรุปว่า เอาหกห้องก่อน เราส่วนหนึ่งแยกไปประสานเพื่อน หาช่องทุนรอนมาสนับสนุนเพราะเราไม่มีทุนพอสำหรับการสร้างห้องน้ำหกห้อง

เมื่อเป็นที่แน่นอนว่าพอจัดหางบได้แล้ว เราก็ปรึกษากันต่อเรื่องพื้นที่ก่อสร้าง ข่าวการทำห้องน้ำกระจายออกไปเพราะการบอกต่อระดมแรงช่วยกันทำ จนมีคนใจกล้าอาสาพาบุกสร้างแล้วค่อยขออนุญาตทีหลัง เรามารู้ทีหลังว่าเขาเป็น ผญ.บ้านหมู่อื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ใจกล้าพอสมควร เมื่อเงินซื้อวัสดุเดินทางมาไม่ถึง และถ้าใช้แรงคนขุดหลุมก็ไม่ทันความต้องการเร่งด่วน เราจึงค้นพบสถานการณ์ที่ “ส้วม สำคัญกว่า อาหาร”

ปัญหาติดขัดทั้งหมด พวกเขาทั้งสอง (ภายหลังเรามารู้ว่าเป็นสมาชิก อบต.สมัยแรก) ผญ. กับทีมอาสาเป็นคนคลี่คลาย นำทีมเข้าพื้นที่ ทุกคนช่วยกัน ติดต่อคอนเนกชั่นในพื้นที่ เอารถมาขุดแบบเซ็นต์ไว้ก่อนทั้งหมด ร้านวัสดุนั้นก็ดีใจหาย ให้เซ็นทุกอย่าง เอาวัสดุมาก่อน แรงงาน พวกเขาเป็นคนจัดการทั้งหมด

“ส้วมแห่งความฝัน” ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางคนที่ระดมแรงช่วยกันสร้างและคนที่รอใช้ พร้อมข่าวลือที่บางม่วงว่าด้วยการมุ่งสร้างห้องน้ำให้คนได้ใช้ แข่งกระแสข่าวลือชวนผวาว่าด้วยคลื่นลูกที่สองที่จะมาอีก ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันในพื้นที่สร้างห้องน้ำอย่างหนาตา มีวงย่อยเล็กๆ จับกลุ่มสนทนาเรื่องคลื่นลูกใหม่ เรื่องหาญาติไม่เจอ เรื่องกล้ามาเข้าห้องใหม่ในพื้นที่เสี่ยงกับคลื่นที่ลือกันไหม และเรื่องคนไม่มีที่พักเร่ร่อนอยู่บนเชิงเขา 

“จากภาระกิจห้องสุขาสู่แกนนำ”

ช่วงเย็นๆ หลังเราสร้างห้องน้ำเสร็จ ทีมก่อสร้างก็มีเรื่องมาถามพวกเรา

“…พี่ๆ พรื้อดี คนม้ายที่พัก เราช่วยเขาได้ม้าย หน้าอำเภอเต็มหมดแล้ว ส้วมกะน้อยไม่พอกัน พวกหนีไปบนเขากะอยากมาอยู่แค่ใกล้ๆ ส้วม กับตามหาญาติๆ…”

“…ก็ต้องช่วยกันหาวิธี มันคงใช้งบมาก ทำบ้านเลยคงไม่ได้ แต่ถ้าแบบเต๊นท์สนามน่าจะพอได้ ลองดูม้าย สำหรับคนไม่มีที่พักจริงๆ” เราตอบไป 

เรากับชาวบ้านชุดแกนนำก่อสร้างเป็นทีมเดียวกันแล้ว กินข้าวแกงหม้อเดียวกัน ซุกตัวนอนขดๆ ตามเต็นท์รวมกัน แย่งกันเข้าห้องน้ำการช่วยแบบไม่มีเงินเป็นถุงเป็นถัง การเซ็นต์ของก่อน ทำให้เขาเห็นว่าเราไม่มีงบมาก ขณะเดียวกัน การอยู่ร่วมกันทำให้เขามีความมั่นใจเรามากว่าทีมนี้ถึงไหนถึงกัน  

พื้นที่ทำห้องน้ำ เป็นพื้นที่ร้างของศูนย์ทรัพยากรเหมืองแร่ ตอนเราบุกเข้าไปก่อสร้าง ทางทีมเดินหาจุดเหมาะสมและเห็นแล้วว่าในพื้นที่มีโรงเรือนร้างสองหลัง มีสระใหญ่ มีทางเข้าออก มีโรงรถและเครื่องยนต์เก่าๆ มีบริเวณกว้างขวาง จึงได้ปรึกษากันในลำดับต่อไป

“มันเป็นที่หลวงนะ เราน่าจะใช้ได้  อย่างโรงรถน่าจะได้สักสามสี่สิบคน…”

“มันไม่พอ ส้วมก็ต้องทำเพิ่ม แต่ถ้าขยายมากๆ จะมีปัญหากับหน่วยงานมั๊ย…”

เรามีการปรึกษากันทำนองนี้ ในท้ายที่สุดก็สรุปกันได้ว่าเราจะขยายพื้นที่ทำห้องน้ำ เคลียร์พื้นที่ขยายเป็นที่พักชั่วคราวของผู้ประสบภัยต่อ มีชาวเลกลุ่มหนึ่งมานั่งๆ แถวนั้นแบบไม่มีที่ไป เรารู้ว่าเป็นชาวเล ทีมที่ยกระดับขึ้นเป็น “ทีมศูนย์อพยพผู้ประสบภัย” ได้จัดการให้เข้าพักในโรงรถเป็นกลุ่มแรก พวกเรารับหน้าที่ประสานเพื่อนพี่น้องหน่วยงานทั่วประเทศหางบทำห้องน้ำเพิ่ม ขอการสนับสนุนเต๊นท์สนามทุกขนาดจำนวนมากมารองรับผู้คนไร้ทางไปนับหมื่นคน 

อบต. หนุ่ม รับหน้าที่ประสานนายอำเภอและหน่วยทรัพยากรแร่เพื่อขอใช้พื้นที่ชั่วคราวอย่างเป็นทางการ พร้อมขอรถเกรดมาเปิดพื้นที่ให้ โดยทีมฯ ประกาศบอกต่อว่าใครต้องการเข้ามาพักที่นี่ ให้มาช่วยกันเก็บกวาด เคลียร์พื้นที่ มีคนมาอาสามาช่วยกันทำงานสองวันกว่าสองร้อยคน ชาวเลกลุ่มนั้นก็มาช่วย มีป้าคนหนึ่งที่มาช่วยด้วย ในทีมฯ บอกว่า เป็นนายหนังตะลุงหญิง (เราอึ้งมาก เคยได้ยินชื่อเสียงตั้งแต่ตอนเด็กๆ เพิ่งเจอตัวจริง)

แม้สถานการณ์ไม่เปิดโอกาสให้เราศึกษาวิเคราะห์อะไรได้มาก เราออกไปลงพื้นที่บ้านน้ำเค็มบ้างในบางโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่ต้องพึ่งพารถขนศพของชาวบ้านไปที่วัด กับรถมูลนิธิฯ ต่างๆ ทุกครั้งก็จะนั่งไปกับห่อศพข้างๆ แต่เมื่อประเมินจากเรี่ยวแรงของชาวบ้านทีมทำห้องน้ำ ทีมช่วยเคลียพื้นที่ ทำที่พัก เราก็ประมวลข้อมูลเบื้องต้นได้ว่า พวกเขามีปัญหาร่วม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พัก ญาติหาย  ขวัญกำลังใจเสีย ไม่มีรายได้ และ ไม่รู้อนาคต

แกนจากการทำห้องน้ำราว 30-40 คน ถือว่าเป็นคนใจแกร่ง ไม่รู้ว่าเขาตั้งหลักฝืนความรู้สึกหลังความสูญเสียรุนแรงหมาดๆ มาได้อย่างไร พวกเขามาแบบหมุนเวียนกันไปมา บ้างหายไปตามหาญาติ ตามหาเรือ ไปเผาฝังศพ แล้วกลับมา มีคนหลักๆ ราว 15-20 คน เมื่อจะขยายที่พักขึ้นก็ต้องมีแกนนำเพิ่มขึ้น มีคนพร้อมทำที่พัก

เราเริ่มมีความมั่นใจในกลุ่มนี้ เรามองเห็นว่าพวกเขามีบุคลิกแบบลงมือลงแรง รู้จักคนมาก บางคนโผงผาง ใจกล้าทุกคนขยัน  ทีมเราเองก็รู้สึกได้ว่าเขาให้ความเชื่อมั่นทีมเรา ทั้งๆ ที่เขาเห็นว่าทีมเราแทบไม่มีทรัพยากร ต้องหากันทุกอย่างที่จะทำ ความไม่มีทรัพยากรมากในมือให้เห็น มันก็วัดใจกัน และสกรีนคนไปในตัว

การจัดทำที่พักเป็นเรื่องใหญ่มาก ในหน้าสิ่วหน้าขวานเราพยายามสรุปบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ระบบที่พักให้มีแกนนำ ไม่ใช่แค่ “จัดที่พักเยียวยาผู้ประสบภัย” ซึ่งมีขั้นตอนที่ต้องปรับไปตามสภาพความเป็นจริง และมีหลักที่ต้องแม่นยำ การให้เขาหาคนทำห้องน้ำเองแบบช่วยกันลงแรง ไม่มีทั้งค่าแรงและค่าอาหาร  ทุกอย่างหากันมาเอง แต่ภายหลังที่หามาเอามาทำกินร่วมกัน ทำให้เกิดกลุ่มริเริ่มที่ต้องพึ่งตัวเอง แก้ปัญหาเองด้วย ทำให้เราได้ทีมแกนนำตั้งต้น เกิดการรวมหมู่กันใหม่ของชาวบ้าน หลังแตกกระจายเพราะคลื่นยักษ์

เมื่อทำสิ่งที่เป็นความต้องการร่วม คนจึงมาร่วมช่วยและขยายการสื่อสารออกไปว่า “ที่บางม่วง มีคนมาช่วย แต่ชาวบ้านต้องไปช่วยทำกันเองด้วย” เป็นแนวที่สวนกระแสการบริจาคสงเคราะห์อย่างเดียว คนที่มาร่วมในกระบวนการจึงทำใจมาระดับหนึ่ง พอมีคนเข้ามาร่วมวงมากขึ้น มากน้อยก็ตาม เราให้มีวงปรึกษาหารือ แบ่งงาน กล้าคิดกล้าทำ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อส่วนรวม เช่นการเข้าใช้พื้นที่หน่วยงานก่อนโดยไม่ทำลายและขออนุญาตภายหลังจากประเมินด้วยเหตุผลพอเพียง

เราอยู่ร่วมกับเขา 24 ชั่วโมง พร้อมรับมือทุกอย่างร่วมกัน รวมศูนย์ความเชื่อมั่นและไว้ใจ เราต้องพยายามคิดค้นไปหนึ่งก้าว และต้องปรึกษาทีมให้มีความเข้าใจร่วมกัน แบ่งงานกัน มองและดึงคนใจแข็งแกร่งในยามนั้นมาช่วย และมองให้เห็นคนเปราะบางที่ต้องเข้าไปอุ้มชู กฎกติกาต้องมี แต่ยืดหยุ่น 

จากการทำห้องและเตรียมพื้นที่ทำที่พัก ได้เกิดทีมชาวบ้านและรวมกับเราแล้วราว 20 คน ทั้งเต็มเวลา ครึ่งเวลา (การตามหาญาติ) ซึ่งเราเรียกกันเองว่า “ทีมบางม่วง”

รับมืองานใหญ่ด้วยทีมใหญ่

เมื่อเต็นท์เดินทางมาถึง ทีมก็วางระบบในการเข้ามาอยู่ของผู้อพยพ โดยให้อยู่เป็นกลุ่มย่อยตามเต็นท์สนาม กลุ่มละ 10 หลัง พอครบ 10 หลังก็นัดประชุม ทำกติการ่วมกัน และให้มีตัวแทนประสานกับทีมกลาง 2 คน

วันแรก เราทำที่พักได้จำนวนราว 50 เต็นท์  กติกาที่ร่วมตั้งขึ้น เช่น ให้ช่วยกันดูแลคนเปราะบาง ระวังการใช้ไฟหุงต้มสูบบุหรี่ ตัวแทน 2 คนเข้าประชุมหมุนเวียนได้  และมีการประชุมใหญ่กลางลานเพื่อหลอมรวมใจพี่น้องให้อยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ช่วยกันดูแลสิ่งต่างๆ เหมือนบ้านตัวเอง ในระยะเวลาเพียงสามวัน มีคนเข้ามาแจ้งความประสงค์นับพัน จนเราหาเต็นท์ไม่ทัน เพื่อนๆ ทุกจังหวัดระดมหาซื้อมาช่วยเกลี้ยงตลาดทุกแห่ง บางคนเดินเข้ามาคนเดียว ก็มีเต็นท์ให้

“พี่ ผมขอเต็นท์ด้วยครับ…” ตาสองข้างเขาแดงก่ำเป็นสีเลือด เสียงแหบแห้ง

“เต๊นท์หมดแล้ว ทำไมเพิ่งมา แล้วตาไปโดนไรมา”

“…ผม เอ่อ ไปตามหาลูกสาว หายไปสองคน…” เราจุก สิบกว่าวันแล้ว ลูกสาวคงไปแล้ว

“งั้นเอาเต็นท์พี่ไปนะ ไปกางนอนตรงโน้น” ผมไปรื้อเสื้อผ้าตัวเองออก

เขาเป็นช่างเย็บผ้า ต่อมาเขาอาสาสอนคนอื่นๆ เย็บเสื้อ กระเป๋าจากเสื้อผ้าเก่าและผ้าเหลือห่อศพส่งขายหารายได้เข้าศูนย์อพยพฯ

ในขั้นนี้ การจัดตั้งมีระบบ ทีมกลางประสานงานกลาง มีตัวแทนกลุ่มเต็นท์ มีการประชุมทุกค่ำหลังประชุมใหญ่ มีระบบประชุมใหญ่กลางลาน เป็นระบบกลไกเล็กๆ ที่เป็นชาวบ้านทั้งหมด มีหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือ หากเราเห็นว่ามีความตั้งใจหนุนเสริมชาวบ้าน เราจะชวนร่วมเป็นที่ปรึกษา บางหน่วยงานไม่นานก็หายไป บางหน่วยงานช่วยเราเฉพาะกิจที่ร้องขอ เช่น บริษัทที่ขายเครื่องกรองน้ำ ภายหลังเราขอให้ช่วยทำระบบน้ำใช้สูบขึ้นมาจากสระกรมฯ เหมืองแร่ เป็นต้น

“วัฒนธรรมการอยู่ร่วมและพาไปข้างหน้า”

หน่วยจิตวิทยาของทางการแทบทุกจังหวัดเริ่มลงพื้นที่ มันช่วยได้ส่วนหนึ่งในตอนกลางวันที่คนเศร้ามีเพื่อนคุยปลอบใจ แต่ก็เกิดสภาพ ร้องไห้ เศร้าซ้ำๆ หลายรอบ จากการลงเยี่ยมกันหลายรอบแล้วกลับไปตามภาระกิจที่จบลง  มันเป็นโจทย์ใหม่ที่แกนเต๊นท์ต่างๆ พบเห็น การนั่งจับเจ่าอยู่ในเต็นท์เป็นสภาพที่ไม่ดีเพราะทุกคนกำลังทุกข์ การประชุมใหญ่กลางลาน ผู้คนจึงโผล่ออกมาเพื่อพบเพื่อน  เวทีลานดินข้างหน้าเป็นที่จับจ้องว่าจะมีการชี้แจง แจ้งเรื่องอะไร และนั่นคือสิ่งที่ทีมต้องคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากวงใหญ่อย่างไรที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้และแข็งแกร่งขึ้น 

ปัญหาทางจิตใจ ความสิ้นหวัง ที่เริ่มก่อตัวกับคนจำนวนมากทำให้การประชุมคิดค้นในวงเล็กต้องคิดไปหนึ่งก้าวรองรับ คนที่มีได้รับผลกระทบจากความสูญเสียทีทุกประเภท มีเด็กที่ไร้พ่อแม่ มีคนต้องดับเศร้าด้วยเหล้าเพราะเหลือตัวคนเดียว คนเสียสติและสูญเสียทรัพย์สิน การประชุมวงใหญ่จึงเป็นทั้งวงช่วยปลอบใจ วางวินัยกติกา ร่วมกำหนดกิจกรรม แบ่งงานภารกิจ ทั้งหมดนี้ เพื่อป้องกันวิกฤตซ้อนซ้ำ ในขณะที่ที่ประชุมวงเล็กทยอยคิดมาตรการออกมา อาทิ ควรมีครัวกลางแทนข้าวกล่องบริจาค โดยขอความร่วมมือจากมูลนิธิต่างๆ ไม่นานเราก็มีครัวกลางที่ชาวบ้านหมุนเวียนเข้าไปเป็นอาสา

ต้องหยุดการเอาเงินมาแจกแต่จัดระบบรับเงินเข้ากองกลางแทน ให้ผู้บริจาคได้ถ่ายรูป และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นคือ การหยุดวิ่งแย่งรับเงินจากคนที่ถือถุงเงินเข้ามาบริจาค การรับอาหาร ของบริจาค หม้อชาม ถังแก๊ซปิ๊กนิก เราเอาเข้าโกดังกลางแล้วทุกคนมาขอเบิกตามความจำเป็น

การร่วมดูแลเด็ก ผู้ใหญ่ซุปเปอร์เปราะบาง

การจัดทำแหล่งน้ำในศูนย์ฯ

การกระจายสิ่งของบริจาคที่ล้นสู่พื้นที่ขาดแคลนอื่นๆ

ฯลฯ 

ข้อมูลสำหรับการฟื้นฟูและเยียวยาริเริ่มจากวงใหญ่นี้ว่า มีเรือหาปลากี่ลำที่สูญเสีย กัด อวน หรือการต้องการอาชีพใหม่ ไม่นาน ในศูนย์อพยพฯ จึงเกิดกลุ่มเตรียมอาชีพ ทั้งที่ใช้ภูมิปัญญาเดิมจากผู้ประสบภัย เช่น ทำเรือ ช่างเย็บผ้า  สานกัด อวนหรือภูมิปัญญาใหม่ เช่น ผ้าบาติก (จากผ้าห่อศพที่เหลือใช้) เสริมสวย รับซักผ้าเครื่อง แน่นอนว่า แม้ทุกคนต้องเข้าสู่ระบบกลุ่มย่อย  แต่ก็มีพื้นที่สำหรับบางคนที่มีความพิเศษ คนมีวิชานวดแต่ตาบอดก็มีที่ทางสำหรับเขา มันเป็นการเยียวยาที่กำหนดอนาคตของตัวเอง ลูกค้าคือผู้ที่เข้ามาบริจาคสิ่งของ 

หนุ่มคนหนึ่งที่มักถูกเพื่อนบ้านเมิน ได้จุติในกองผ้าบริจาคเก่าๆ เมื่อพี่ศิลปินคนหนึ่งมาเนรมิตให้ที่นั่นเป็นงานศิลปะ กิจกรรมในกองผ้าได้เปลี่ยนหนุ่มคนหนึ่งตลอดกาล เขาอาสาเข้าทำงานกองประสานงาน อาสาลงพื้นที่ขยาย เป็นกำลังสำคัญของการสร้างชุมชนใหม่ผู้เช่าบ้านในระยะต่อมา

ศิลปะเปลี่ยนชีวิต

และมี “ความเปลี่ยนแปลงรวมหมู่” ยากจะเชื่อว่าหลังการใช้ชีวิตรวมหมู่ของผู้ประสบภัยที่ขาดแคลนและวิ่งแย่งกันรับเงินบริจาค เมื่อที่ประชุมวงใหญ่มีมติว่าให้รับเงินบริจาคเข้ากองกลาง การวิ่งแย่งชิงข้าวของเครื่องใช้บริจาคได้ยุติลง คนขาดแคลนนับหมื่นยินดีพาคนบริจาคไปที่ทำการศูนย์ฯและร่วมถ่ายรูปเท่านั้น ทั้งหมดมีจุดตั้งต้นที่ กลุ่มย่อยเต็นท์  วงใหญ่ กลางลาน การให้ข้อมูลข่าวสาร การกินอยู่ที่ทุกคนเห็นว่าเท่าเทียม

“พี่ หนูมามอบเงินเข้าบัญชีกลาง” แม่ลูกหนึ่งคนหนึ่งมาหา

“เงินอะไรครับ” เรางุนงงเพราะเขาเป็นแกนนำทั้งสามีและภรรยาและเป็นผู้เช่าบ้านที่ไม่ได้รับสิทธิเยียวยาใดๆ สภาพการใช้ชีวิตก็ขาดแคลน

“หนูไปรับเงินบริจาคที่อำเภอมา หมื่นนึง เลยจะเอามาเข้ากองกลางตามกติกา” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่

“เอ่อ… กติกาสำหรับการรับเงินในศูนย์ฯ นี้ รับที่อื่นมาก็เป็นของส่วนตัวไป” เราย้ำกติกากับเธอ

“ไม่ค่ะ ต้องเอาเข้ากองกลาง” เธอย้ำ

ในที่สุด เราขอให้เธอบริจาคต่อเข้ากองกลางเพียงครึ่งเดียว  ที่เหลือไห้ไปดูแลลูก ทั้งคู่เป็นกำลังของขบวน เสมอต้นเสมอปลาย ในภายหลังพวกเขาสารภาพว่า ที่น้ำเค็มคนมาจากหลายสารทิศจนตั้งชื่อซอยเกือบครบทุกจังหวัด 

“สังคมถูกฝึกมาให้แต่ละคนอยู่รอดในพื้นที่ผลประโยชน์ แต่ในศูนย์ฯ คนถูกสอนให้อยู่ร่วมกัน ช่วยกันให้ดี” ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นได้ แต่เราเรียกว่า นี่คือการเกิดวัฒนธรรมใหม่ เป็นความเปลี่ยนแปลงของคนที่สำคัญต่อสังคม

“ใจดี ใจบุญ ใจกว้าง และใจกล้า”

“ผมขอเสนอว่าตอนนี้มีข้าวของบริจาคที่นี่มาก เราน่าจะแบ่งปันให้ที่อื่น  พี่ๆ เขามาช่วยเรา เราน่าจะช่วยคนอื่นต่อ” ในวงประชุมเล็กวันหนึ่ง มีแกนคนหนึ่งเสนอประเด็นนี้

“ใช่ๆ ผมก็ได้ข่าวมาว่าชาวทุ่งหว้า ทับตะวัน หนีไปอยู่บนเขา คนบริจาคเขาไม่รู้  จึงไม่ได้รับการช่วยเหลือ”

ข้อเสนอนี้ไม่มีใครคัดค้านเลย เราจึงได้แบ่งสายออกไปตามที่ทุกคนได้ข่าว โดยเอาสิ่งของใส่รถไป และให้สอบถามข้อมูลต่างๆ มาให้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้พบกับชุมชนทับตะวัน ทุ่งหว้า ในไร่ปากเตรียมในเขต จ.พังงา ทีมพวกเรานักพัฒนาที่ลงพื้นที่มาสมทบ อาสาเดินทางไปสำรวจในจังหวัดอื่นๆ รวมทั้ ภูเก็ต กระบี่ และสตูล ทั้งชาวบ้าน แกนนำรุ่นแรก นักพัฒนา ได้แยกย้ายกันออกไป

ขยายพื้นที่คือขยายงานจัดตั้งโดยนักพัฒนาร่วมกับแกนนำชาวบ้าน

เราพบสถานการณ์ใหม่ที่ชุมชนมอแกลนทับตะวันกับทุ่งหว้าที่หนีคลื่นไปอยู่เชิงเขา แต่ที่อยู่เดิมที่คลื่นถล่มเหลือแต่ตอหม้อ มีคนเสียชีวิตสูญหายที่ละกว่า 30 คน ทับตะวันกำลังมีเอกชนผู้อ้างกรรมสิทธิ์เตรียมกันลวดหนามล้อม ส่วนทุ่งหว้าหน่วยงานกำลังจะเคลียร์พื้นที่ก่อสร้างเป็นโรงพยาบาลแทน

สำหรับประสบการณ์ของพวกเราจากงานสลัมใน กทม. พบว่า หลังไฟไหม้ชุมชน  ถ้าใครล้อมรั้วได้ก่อนจะชนะ จากประสบการณ์นี้ เราจึงปรึกษากับทั้งสองชุมชนทันที ในระยะเวลาสองสามวันต่อมา จึงเกิด “ขบวนเดินเท้าเข้าพื้นที่” ทั้งสองแห่ง อยู่แบบตามมีตามเกิดเพื่อยึดพื้นที่  ทางศูนย์ฯ บางม่วงสนับสนุนอาหารเสบียงต่างๆ รวมทั้งประสานหน่วยงานภายนอกให้ช่วยสนับสนุน การสร้างบ้านอย่างรวดเร็ว  เพื่อนจากสลัมสี่ภาค มหาลัยต่างๆ ร่วมกันช่วยที่นี่อย่างทันทีทันควัน

แต่การสร้างชุมชนใหม่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ในซากปรักหักพังมหาศาล…  

ดึกวันหนึ่ง ในความทุลักทุเล…

 “ฮัลโหล  ได้ยินมั๊ยครับ ผมนำของบริจาคจากกรุงเทพฯ มาส่งครับ”

“ครับๆ นัดกันที่ลงจากเขาหลักนะครับ จะฉายไฟนะครับ”

ของอยู่หลังเทรลเลอร์ มันเป็นรถแบ็คโฮขนาดใหญ่ใหม่เอี่ยมหนึ่งคัน ผมเซ็นต์ชื่อรับโดยไม่ทราบผู้บริจาค เราหัดขับและเริ่มใช้เครื่องมือนี้ที่ทับตะวันและมันทำให้ “การยึดที่คืน”ทรงประสิทธิภาพ

เข้าพื้นที่ก่อน อยู่ก่อน ใช้ได้ผลทุกพื้นที่

ในขณะที่ศูนย์ฯ บางม่วงเริ่มสร้างอาชีพเยียวยา ชุมชนอื่นๆ กำลังถูกผู้ถือกรรมสิทธิ์ยึดครองพื้นที่ ที่บริเวณบ้านน้ำเค็มก็มีผังปรับภูมิทัศน์ออกมากินพื้นที่อาศัยเดิมเกินครึ่ง แต่ที่โหดร้ายกว่าคือบ้านแหลมป้อมที่ติดกับบ้านน้ำเค็ม ซึ่งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อาวุธครบมือเข้ายึดพื้นที่ วางเวรยามไม่ให้คนเข้าออก ชาวบ้านเข้าออกค้นหาญาติแบบหลบซ่อน เพื่อนๆ ของเราจากชุดสร้างบ้าน ทับตะวัน ทุ่งหว้า อาสาลอบเข้าช่วยทำบ้านตอนดึก แบบเข้าแล้วไม่ออกจนกว่าจะเสร็จ ต้องไปเตรียมเอาเครื่องปั่นไฟมาจากนครฯ

ชุมชนนี้ขึ้นธงดำ เสนอข่าวการไล่รื้อมีมาก่อนสึนามิ โดยผู้ไล่เคยใช้แบ็คโฮตักบ้านทั้งหลังฝังลงในหลุมทราย เมื่อมีการพิสูจน์จึงได้ตักบ้านขึ้นมา ยังมีทั้งเสื้อผ้า ตู้เย็นต่างๆ นำมาซึ่งการตรวจสอบและเจรจาได้ที่ดินคืนในที่สุด

การเสี่ยงชีวิตที่นี่เราไม่ได้งานจัดตั้ง เพราะเงินทุนฯ อิทธิพลมากเกินกำลัง เรายอมรับว่าล้มเหลว 99% อีก 1% เราได้อาสาสมัครภัยพิบัติมาหนึ่งคน

ไมตรี จงไกรจักร์ อดีตผู้ประสบภัยสึนามิและแกนนำทีมบางม่วง สู่ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไทและกรรมการระดับประเทศต่างๆ รวมทั้งด้านภัยพิบัติ ที่นำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการจัดการภัยพิบัติสู่รัฐบาลหลายชุด รวมทั้งข้อเสนอสมุดปกแดงฯ ล่าสุดในวาระครบรอบ 20 ปี สึนามิ

ยกระดับผลักดันนโยบาย” 

ปัญหาที่ดินค่อยๆ เผยตัวออกมา มีความรุนแรงทุกพื้นที่ ท่ามกลางความสูญเสียที่ยังครุกรุ่น แทบทุกแห่งยังคงขุดค้นหาผู้สูญหาย การขยายพื้นที่การทำงานทำให้ “กระบวนการจัดตั้ง” ได้จุดติดขึ้นตลอดแนวชายฝั่งอันดามัน มีประเด็นที่ถูกค้นพบที่มากกว่าการประสบภัย และปัญหาที่ดินที่เพิ่มเข้ามาอีกกลุ่มคือ คนไทยพลัดถิ่น 

ในพื้นที่ชายฝั่งระนอง ชุมพร ประจวบฯ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ คนไทยพลัดถิ่นบริเวณชายฝั่งและที่ป่า มีรวมกันราวๆ 30,000 คน ไม่มีทั้งบัตรประชาชน ไร้สัญชาติ และทั้งไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน พวกเขาเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องออกจากพื้นที่อาศัย เช่น พื้นที่บ้านปากเตรียม รอยต่อ จ. พังงา-ระนอง  เราเก็บข้อมูลปัญหาใต้พรมนี้อย่างเงียบๆ และวางแผนการทำงาน ”สิทธิที่ดิน” ทันที โดยแผนหรือเหตุใดก็ตามที่ประจวบเหมาะ 

กระทรวงหลักฯ กระทรวงหนึ่งออกประกาศให้ประชาชนออกไปตั้งที่อยู่อาศัยใหม่ให้ไกลชายฝั่ง ขณะที่มีทุนฯ หลายกลุ่มเข้าแสดงเอกสารสิทธิห้าม กั้นรั้วในชุมชนเดิมที่ชาวบ้านอาศัยอยู่มาหลายอายุคนและบัดนี้ถูกคลื่นยักษ์ถล่มเหลือแต่ตอหม้อ หน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชนส่วนใหญ่ที่เข้ามาช่วยสร้างบ้านช่วยผู้อพยพจัดหาที่ดินไกลจากชายฝั่งโดยไม่ได้ยึดโยงกับอาชีพทางทะเล และไม่นานก็ปรากฏผังพัฒนาชายฝั่งให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามโดยเฉพาะความเป็นเขตเมืองใหม่ พื้นที่เศรษฐกิจใหม่ มีงบอัดฉีดหลายแสนล้าน

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้คือประเด็นใหม่ที่มีการพูดคุยในแกนกลุ่มย่อย ซึ่งนำมาสู่การจัดกำลังใหม่ จัดกระบวนใหม่ กิจกรรมใหม่ที่มากกว่าการฟื้นฟูจิตใจและอาชีพจึงต้องเกิดขึ้น

การทำงานเริ่มที่คำถามเช่นเดิม

 “ถามว่า เรามีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินเดิมนั้นหรือไม่?”

 “มี เราอยู่มาตั้งแต่เกิด…ทุกพื้นที่” หลายคนตอบอย่างหนักแน่น

“ถ้ามี เราก็ต้องหาวิธีที่มีเหตุมีผล ปกป้อง ถ้าคุณเริ่มปกป้อง เราจะช่วยคิด ช่วยทุกอย่าง”

จุดเปลี่ยน

จุดเปลี่ยนของงานฟื้นฟูผู้ประสบภัยสึนามิจึงเปลี่ยนไปเป็นประเด็นปกป้องที่อยู่อาศัยดั้งเดิม โดยเริ่มต้นที่ชาวเลมอแกนทับตะวัน ทุ่งหว้าเดินยาตราจากพื้นที่หนีคลื่นเชิงเขาเข้าอยู่อาศัยในพื้นที่เดิมโดยสายฟ้าแลบ ที่ทับตะวันเอกชนเตรียมกั้นรั้ว ที่ทุ่งหว้าท้องถิ่นจะสร้างโรงพยาบาล ที่แหลมป้อมเอกชนเข้าคุ้มครองพื้นที่ทางเข้าออกปลากะตัก ที่ภูเก็ต ทับยาง ท้ายเหมือง ที่ถูกพิพากษามาก่อนหน้านี้แล้วก็เร่งรัดให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่เพื่อให้ติดขบวนการอัดฉีดพัฒนา

ชาวสึนามิประสบภัยทั้งความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน บ้านที่อยู่อาศัย อาชีพที่ทำกิน และกำลังจะสูญเสียที่ดินตลอดแนวชายฝั่งอันดามัน มันเกินที่ชาวบ้านจะมีกำลังปกป้อง “การคิดไปหนึ่งก้าว” จึงจำเป็นเสมอ 

กิจกรรม “เปิดเลเขเรือ” เพื่อเปิดภาพคนที่อยู่กับชายเล มีวิถีกับทะเลจึงเกิดขึ้นที่ลันตา ต่อมา “งานประสบภัย ประสบการณ์ ประสานเพื่อน”เกิดขึ้นที่ทุ่งหว้า พื้นที่กำลังจะโดนยึด และที่นี่ได้มีการเปิดตัว “เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ” ยื่นข้อเสนอต่อตัวแทนรัฐบาลให้ตั้งกรรมการพิสูจน์สิทธิที่ดินสึนามิที่มีทุกฝ่ายร่วม โดยเฉพาะฝ่ายประชาชน และเริ่มทำงานทันทีโดยร่วมมือกับนักวิชาการ สื่อมวลชน เพื่อเปิดภาพวิกฤตละเมิดสิทธิซ้อนวิกฤตภัยพิบัติเพื่อหนุนช่วยขบวนของชาวบ้าน ซึ่งบัดนี้ได้ฟื้นตัวจากความสูญเสีย ติดอาวุธทางความคิดมาเป็นการปกป้องสิทธิที่อยู่อาศัยแล้ว จึงมีการประสานงานทุกพื้นที่ก่อตั้งเป็น “เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ”

ด้วยความซับซ้อนของปัญหาที่ดิน เราจึงหานักวิชาการมาช่วยเหลือโดยเฉพาะด้านการตรวจสอบและทำแผนที่ทางอากาศฉบับชาวบ้าน จนพบว่า มีแผนที่ทางอากาศที่เอกชนผู้อ้างกรรมสิทธิ์นำมาแสดงคลาดเคลื่อนเพื่อทับที่ชุมชน นำมาสู่การตรวจสอบใหม่ ชุมชนชายฝั่งอันดามันที่มีปัญหาทับซ้อนที่ดินได้มีวิชาใหม่ลงมือทำกันคือ การทำประวัติชุมชน ผังตระกูล การใช้ประโยชน์ในที่ดิน  ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญให้กรรมการพิสูจน์สิทธิที่ดินสึนามิทำงาน

วัฒนธรรม วิถีชีวิต รวมผู้คน รณรงค์ และข้อเสนอเจรจาระดับนโยบาย

ถึงจังหวะนี้เรามีพื้นที่ชัดเจนที่ยกระดับจากผู้ประสบภัยเป็นผู้เรียกร้องสิทธิ เป็นเครือข่ายจากระนอง -สตูล มีข้อต่อประสานงานตรงกับรัฐบาล มีกรรมการพิสูจน์สิทธิที่ดินสึนามิ

การบ่มเพาะคนแบบให้มีระบบกลุ่ม ลงมือลงแรงช่วยกันเอง จิตใจเสียสละ “ใจดี ใจกว้าง” จนถึง “สิทธิการดำรงชีพในภูมิปัญญาเดิม” ในแหล่งพื้นที่เดิมที่สอดคล้อง พาให้ชาวสึนามิที่ส่วนใหญ่เกี่ยวโยงกับพื้นที่การบุกเบิกชายฝั่งก้าวข้ามจากการเป็นผู้ประสบภัยสู่นักต่อสู้เรื่องสิทธิได้ไม่ยาก เว้นแต่ว่าผู้สนับสนุน ที่ปรึกษา จะมีเป้าหมายไปสู่การฟื้นฟูสิทธิหรือไม่

การเจรจากับรัฐบาลทำให้การเร่งรัดให้คนออกจากชายฝั่งผ่อนคลายลง กรรมการพิสูจน์สิทธิทำงานอย่างได้ผล ทำให้พื้นที่ชุมชนถูกคลื่นสึนามิทั้งชายฝั่งและเกาะต่างๆ รอดพ้นจากการถูกยึดครองจากนโยบายรัฐและเอกชนได้อยู่ในที่เดิมได้ต่อไปก่อนเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ

เครือข่ายข้ามภาค

การรัฐประหารปี 49 เครือข่ายสึนามิเคลื่อนไหวเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งเข้าร่วมเจรจากับคณะรัฐประหารให้คืนประชาธิปไตย ซึ่งรัฐบาลเดิมกำลังมีการทำงานแก้ไขปัญหาพื้นที่สึนามิ เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องจึงได้ร่วมกับเครือข่ายชุมชนภาคอื่นก่อตั้ง “เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.)” จากผู้ประสบภัยก้าวสู่พื้นที่ระบบประชาธิปไตย 

บีตั๊ค บาเหง็น ดาวเดือน ชาวเลบุกเบิกอันดามัน

การขยายพื้นที่จังหวัดอื่นๆ เช่น ภูเก็ต ชุมชนแรกที่พบถูกไล่รื้อโดยเอกชน  แต่เมื่อกรรมการพิสูจน์สิทธิเข้าตรวจสอบ พบว่าเป็นพื้นที่ป่าชายเลน จึงมีการเจรจากันพื้นที่ให้ชุมชนอยู่ แต่ยังมีชุมชนอื่นเดือดร้อนอีกจำนวนมามาร้องเรียน ระหว่าง ช.ปลากะตัก ชุมนุมหน้าศาลากลาง จึงได้จัดประชุมก่อตั้ง “เครือข่ายสิทธิคนจนพัฒนาภูเก็ต” และที่สำคัญ มีชาวเลประสบภัยด้วย เบื้องต้น 5 พื้นที่ ราไวย์ แหลมตุ๊กแก สะปำ แหลมหลา หินลูกเดียว ทุกจังหวัดที่นักพัฒนาลงพื้นที่ ได้จัดตั้งชุมชนภัยพิบัติขึ้นเป็นรูปเครือข่ายคล้ายกันเพื่อความสะดวกในการประสานงานต่างๆ รวมทั้งการฝึกอบรมด้านสิทธิซึ่งประสานกับ กสม. สว.ลงพื้นที่หนุนช่วย มีสื่อประกบพื้นที่ทำข่าวสารเผยแพร่สาธารณะต่อเนื่อง เช่น สำนักข่าวชายขอบ เวทีสาธารณะ

สำหรับพื้นที่ชาวเลทุกจังหวัดที่เราได้รับข้อมูล มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะส่วนใหญ่อยู่ในทำเลมีค่าต่อการท่องเที่ยว จึงอยู่ในแผนการไล่รื้อแรกๆ มีการเปลี่ยนสถานะให้เป็น “ไทยใหม่” เพื่อลดทอนสิทธิการบุกเบิกอาศัยดั้งเดิม ผู้อ้างการครอบครองที่ดินชาวเลเกือบทั้งหมดเพิ่งมาแสดงตัวหลังสึนามิ  บางพื้นที่มีข้อมูลจากชาวเลว่า เป็นที่ราชทาน ร.9 สมเด็จย่าเคยเสด็จฯ และพระราชทาน นามสกุลชาวเลทั้งหมด แต่ที่ดินก็ถูกยึดครองโดยเอกชน เช่น ชุมชนชาวเลแหลมตง เกาะพีพี แหลมตุ๊กแก ราไวย์ ภูเก็ต 

จึงได้มีการก่อตั้ง “เครือข่ายชาวเลอันดามัน” เพื่อเคลื่อนไหวฟื้นฟูวิถีชีวิตจากสึนามิและสืบสานอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ชาวเล มอแกน มอแกลน อูรักราโว้ย มีสมาชิกรวม 41 ชุมชน ประชากร ราว 14,000 คน สมัครเข้าเป็นสมาชิก คปสม.และเริ่มเคลื่อนไหวยื่นข้อเรียกร้อง จนรัฐบาล มีนโยบายคุ้มครองเป็นพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ 

สู่ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) P Move

ในปี 2551-52 องค์กรเครือข่ายชุมชนและนักพัฒนาได้ร่วมกันก่อตั้ง ขปส. ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อรัฐบาลให้แก้ปัญหาคนจน ต่อเนื่องจากขบวนสมัชชาคนจน  นักพัฒนาพื้นที่สึนามิได้รับความเห็นชอบจากเครือข่ายสึนามิ เครือข่ายชาวเล เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น ให้ประสานงานเข้าร่วมกับ ขปส. ในนามเครือข่าย คปสม. ขปส. เปิดการเจรจากับรัฐบาลครั้งแรก ปี 2553 สมาชิกจากเครือข่ายสึนามิทุกส่วนร่วมการชุมนุมเจรจาจนกระทั่งปัจจุบัน

จิตสำนึก

เช้าวันหนึ่ง พวกเราไปเยี่ยมบ้านน้องหนุ่มอบต. ที่พบกันในวันแรก เราได้พบกับแม่ของเขา

“เฮ ลูกบ่าว อย่าเอาลูกแม่ไปหมดตะ เหลือไว้สักคนตะ” แกพูดเสียงจริงจัง

 “ครับๆ” ผมไม่รู้จะพูดอะไร

 “อิ๊  แม่แหลงเหมือนว่า เราอิไปไหน อยู่กันที่นี่แหละ” พี่ชายของหนุ่ม อบต. พูด พลางหัวเราะ

  “หมึง งั้นแหละ” แม่ดุ

ตัวพี่ชายหนุ่ม อบต. นั้น เราพบตั้งแต่ช่วงแรก มาๆ ไปๆ ช่วยงานเงียบๆ จนมารู้ทีหลังว่า ต้องไปตามหา จัดการศพญาติๆ ซึ่งสูญเสียไปร่วมสามสิบคน แต่ในภายหลังเขามาช่วยงานค่อนข้างเต็มตัว ซึ่งก็ไม่คลาดสายตาแม่ไปได้ แม่คงรู้สึกจริงๆ ที่อยากมีลูกอยู่ใกล้ๆ หลังคลื่นแรงที่ซัดพ่อที่ดันตัวแม่ขึ้นที่สูงวินาทีสุดท้าย เมื่อแม่พ้นคลื่นได้พ่อกลับโดนคลื่นม้วนกระชากจนจมน้ำ ศพของเขาถูกพบหลังน้ำลด

วันแรกที่เราพบเขาแถวที่ทำการ อบต. เขาเพิ่งกลับจากเอาศพพ่อไปฝากกับญาติที่บ้านเกิด นครศรีฯ  เขาพูดคุยกับเราปกติ ภายหลังเขาบอกว่าก็ต้องกลับมาดูแลชาวบ้านตามหน้าที่ อบต. แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่ของบริจาค ได้แต่มอง จนเจอพวกเรา

หลังการร่วมไม้ร่วมมือกันราวครึ่งเดือน อยู่ๆ เขาก็หายไปทั้งพี่น้อง จนได้สองวันแล้วก็กลับมาบอกเราว่า ไปเผาศพพ่อ  พวกเขาไม่ขอสิ่งใดจากเราเลย แม้แต่บอกให้ทำบุญ

“ผมเห็นพี่มีงานยุ่งเยอะเลยไม่บอก” เขาพูดสั้นๆ และเริ่มสานต่องาน ทั้งสองคนโดยเฉพาะพี่ชายใช้ความรู้ทางช่างช่วยทำงานเมื่อศูนย์อพยพฯ เริ่มยกระดับจากเต็นท์ไปเป็นบ้านชั่วคราวในเวลาต่อมา

“เอาไม่อยู่แล้วครับแม่” พวกเรารำพึง

จากการเริ่มต้นทำงานที่ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย ในต้นๆ เดือนมกราคมของปี 2548 การทำงานกับผู้ประสบภัย ภายใต้ความเชื่อ “งานจัดตั้ง” จะทำให้คนเติบโตทางความคิด ทางระบบกลุ่มองค์กรที่มีพลังเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเข้าร่วมพัฒนาสังคม เราได้เห็นผลิตผลของมันแล้ว แต่ความยั่งยืนอยู่ที่… “จิตสำนึก”

ระหว่างการเติบโตในกระบวนการแก้ปัญหา สิ่งที่หล่อเลี้ยงหรือเส้นเลือดของการเพาะบ่มอยู่ที่ “การให้ความรู้ ความเป็นธรรมในสังคม และสิทธิมนุษยชาติ คุณค่าที่ควรมอบให้ต่อเพื่อนมนุษย์ในสังคม” และการอบรมที่ดีคือกระบวนการปฏิบัติ พวกเขาได้ทั้งสองอย่างตลอดมา นับจากคำถามแรก …และร้อยหมื่นคำถาม ในเวลาต่อๆ มา และนั่นทำให้เขาไม่หยุดนิ่งในแนวทาง “ประชาชนกำหนดอนาคตตัวเอง”

สมาชิกศูนย์ฯ บางม่วง บ้านน้ำเค็ม ได้รวมตัวกันก่อตั้ง “อาสาภัยพิบัติ” ขึ้นรับใช้พื้นที่ตัวเองและข้ามไปช่วยที่อื่น  ทั้งประสานและขยายการจัดตั้งกลุ่มพัฒนาฯ กลุ่มจิตอาสาให้เกิดขึ้นในหลายจังหวัดพื้นที่เสี่ยง ทุกแห่งมีกิจกรรมเพื่อสังคม พวกเขาประสานชุมชนและหน่วยงานให้ได้มากที่สุดเพื่อร่วมก่อตั้ง “ขบวนพังงาแห่งความสุข”

เครือข่ายสิทธิพัฒนาภูเก็ต มีการปลูกป่าล้านต้น  อนุรักษ์ป่าชุมน้ำกลางเมืองเกือบ 1,000ไร่ ก่อตั้งอาสาภัยพิบัติ ศูนย์วิทยุ มีส่วนพร้อมร่วมเผชิญเหตุ ทีมไทยพลัดถิ่นพร้อมเสมอในการเป็นอาสาจัดการขยะในพื้นที่สาธารณะ และเป็นพลังแรงงานที่คล่องแคล่ว 

ชาวเลได้เข้าสู่การมีพื้นที่สาธารณะ แสดงตัวตนอย่างเปิดเผยในฐานะผู้บุกเบิก มิใช่ไทยใหม่ อย่างน้อยเขามีงานวันรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเลตามมติ ครม. และเป็นขบวนสำคัญในการผลักดัน พรบ.คุ้มครองชาติพันธุ์เข้าสภาฯ ปี 2567

แทบทุกพื้นที่ ในทุกจังหวัด มีส่วนร่วมกับการรณรงค์เสนอกฎหมายภาคประชาชนเข้าสู่สภาฯ มีต้นทุนการพัฒนาภายในแบบพึ่งตัวเอง และพร้อมช่วยสนับสนุนเพื่อนชุมชนและสาธารณะ

พวกเขาทั้งหมดมีภารกิจด้านภัยพิบัติ ทั้งเหตุเฉพาะหน้าและข้อเสนอแก้ไขปรับปรุงพรบ.สาธารณะภัยฯ ที่ควบคู่ไปกับการเจรจาต่อรอง ถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาลทุกรัฐบาล ในข้อเสนอระดับนโยบายและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้านที่ดินทรัพยากร การเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐาน เรื่องชาติพันธุ์ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ศักยภาพทั้งหมดเติบโตจากกระบวนงานพัฒนาแบบใหม่ในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ

ภัยพิบัติในภาวะโลกเดือดเกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ แม้บางครั้งเราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่ถ้าเรามีคนที่มีประสบการณ์ มีจิตอาสาจำนวนมาก ก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้น ความสูญเสียน้อยลง อาสาฯ คนจำนวนมากมาจากไหน? ก็มาจากชุมชนที่เคยประสบภัย และมีคนเข้าไปช่วยเหลือ ถ้ามีงานจัดตั้ง (ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนการเติบโตจากภายใน) เข้าไปหนุนเสริมด้วยนอกจากการฟื้นฟูเยียวยาเฉพาะหน้าแล้วก็จะมีระบบกลุ่มองค์กรจิตอาสาเกิดขึ้นที่นั่น

ภัยพิบัติในรอบต่อไปจะมีความปลอดภัยสูงขึ้น รวมทั้งการข้ามไปช่วยเหลือในพื้นที่อื่นได้อีกด้วย งานจัดตั้งอาจยากลำบาก แต่สำหรับนักจิตอาสาช่วยเหลือที่มีใจเข้าถึงพื้นที่ภัยพิบัติอยู่แล้ว หากมีใจ ทรัพยากร กำลังพลอยู่แล้ว จะทำได้โดยง่าย

“พี่ๆ ผมเสนอให้ช่วยพี่คนนึง แกไม่เคยร้องขออะไรเลย เดิมแกขายไอติม รถไปกับคลื่น แกอยากได้รถพ่วงข้าง มอร์ไซต์แกหาเจอ ซ่อมได้แล้ว” หนุ่มที่เราเจอวันแรกลงสึนามิมาปรึกษา  เจ้าตัวคือหนึ่งในทีมสร้างห้องน้ำ ทีมจัดระบบเต็นท์ ทีมกลางทุกเรื่อง เราเห็นด้วย อยากช่วย วิธีของเราคือ ชวนคนที่มาบริจาคช่วย ซึ่งไม่นานก็มีคนอาสาช่วย 3-4 ปีหลังการฟื้นฟู  เขากลายเป็นทีมอาสาภัยพิบัติและได้กลับมาขายไอติมที่ทำเอง รสชาติหวานมัน

เราเริ่มถอนตัว ลดบทบาทระยะฟื้นฟูลง ก้าวสู่การจัดตั้งในเงื่อนไขสิทธิที่ดินโดยตรงตามประสบการณ์เดิม ก่อนถอนตัว เรากับเพื่อนๆ กับชาวบ้าน ร่วมกันทำเพลง “เสียงใจอันดามัน” ไว้ขับกล่อมและระลึกถึงเหตุการณ์ความทรงจำ และจิตสำนึกในผืนดินบุกเบิกและความเป็นชาติพันธ์ุไว้

“สร้างพลังคน พลังใจ ไว้ที่นั่น ก่อนจะถอนตัวออกมา”

Credit: Thai PBS