ก่อนถึงการเจรจาฯโลกร้อน COP30 ที่ประเทศบราซิล ภาคประชาสังคมถอดบทเรียนตีแผ่ความไม่เป็นธรรม (Climate Injustice) ในเวทีเจรจาแก้ปัญหาโลกร้อน COP29 โดยระบุว่า การประชุมฯ ที่ผ่านมา 29 ครั้ง เป็นเพียงการซื้อเวลา แก้ปัญหาล้มเหลว การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และโลกยังร้อนขึ้น ข้อตกลงและแนวคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้ง Net Zero และคาร์บอนเครดิต ล้วนนำพาให้สถานการณ์แย่ลง และขยายช่องว่างด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศมากขึ้น
ในเวที Dialogue Forum 4 l Year 5: ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ?, ภาพสะท้อนจากภาคประชาสังคม ซึ่งจัดโดย สำนักข่าว Bangkok Tribune ร่วมกับองค์กรพันธมิตร, ดร.กฤษดา บุญชัย เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนาและผู้ประสานงานเครือข่าย Thai Climate Justice for All (TCJA) กล่าวถึงภาพรวมของการประชุม COPs ว่า การประชุมแก้ปัญหาโลกร้อน Conference of Parties (COP) ผ่านมา 29 ครั้งแล้วในระยะ 30 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการประชุมฯ ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1995 ซึ่งจะเห็นว่า การแก้ปัญหาล้มเหลว ไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจก หรือบรรเทาภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ หรือแม้แต่กลไกรัฐก็ไม่สามารถร่วมกันหาทางออกให้กับปัญหานี้ได้
Francis Fukuyama นักรัฐศาสตร์อเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ได่กล่าวถึง The End of History หรือ “จุดจบของประวัติศาสตร์” ซึ่งเป็นวรรคทองของโลก โดยอธิบายว่า ประวัติศาสตร์ของโลกได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เป็นการประกาศชัยชนะของโลกเสรีนิยม โลกที่ขับเคลื่อนด้วยประชาธิปไตย เสรีนิยม และทุนนิยม เป็นระบบสุดท้ายที่ประวัติศาสตร์มันจะไม่เคลื่อนต่อไปข้างหน้า จะไม่มีอะไรพัฒนามากไปกว่านี้
ดร.กฤษดา กล่าวว่า ในความขัดแย้งทางการเมืองอาจจะดูเหมือนใช่ แต่สิ่งที่จะทำให้ประวัติศาสตร์ไม่มีทางมีจุดสิ้นสุดคือ ปัญหาโลกร้อน หากมองกลับไป จะเห็นได้ว่ากลไกของระบบทุนนิยมเสรีขณะนี้ ไม่สามารถตอบคำถามเรื่องโลกร้อนได้ เพราะทุนนิยมยังต้องการการเติบโต (Growth) จึงมีภาษาต่างๆ เกิดขึ้น เช่น Green Growth หรือการเติบโตแบบทุนสีเขียว Green Capital หรือ Green ต่างๆ เต็มไปหมด ไปจนถึงเรื่องตลาดคาร์บอน ทั้งหมดนี้อยู่ในวิธีคิดแบบทุนนิยมเสรีที่พยายามจะโตต่อไปแล้วเข้าไปจัดการธรรมชาติให้ได้ แต่ผลก็คือ มันล้มเหลว, ดร.กฤษดากล่าว
“เท่ากับว่า กลไกเสรีนิยมของ Fukuyama ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด มันยังถูกท้าทายด้วยปัญหาโลกร้อน แล้วยังขยับต่อไปอีก” ดร.กฤษดากล่าว

ดร.กฤษดา กล่าวว่า ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1992 เป็นปีที่มีอนุสัญญาว่าด้วยโลกร้อน ปีนั้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 22,000 ล้านตันคาร์บอนต่อปี จนปัจจุบันเพิ่มมาเป็น 36,000 ล้านตันคาร์บอนต่อปี จะเห็นว่าค่ามันพุ่งสูงมากในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา
โลกคุยกันจนมาถึงหลักคิดความเป็นธรรมบนความรับผิดชอบที่แตกต่าง (Common, but Differentiated Responsibility, CBDR) ซึ่งหมายความว่า ใครปล่อยก๊าซฯ เยอะ ก็ต้องรับผิดชอบเยอะ การลดการปล่อยก๊าซฯ ยังไม่พอ หากจะต้องรับผิดชอบผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งเป็นที่มาว่า ทำไมต้องเพิ่มเงินช่วยเหลือ (Climate Finance) จาก 1 แสนล้านเป็น 3 แสนล้านเหรียญดอลลาห์ต่อปี เป็นต้น
ต่อมาก็มีแนวคิดเรื่อง Net Zero ที่กำหนดเป็นเป้าหมายหลักในข้อตกลงลดโลกร้อน และอยู่ในแผนระดับชาติว่าด้วยการลดโลกร้อนของทุกประเทศ ตลอดจนเรื่องกลไกคาร์บอนเครดิตที่ COP29 เพิ่งรับรองไป ซึ่งไม่ได้วางอยู่บนหลักการลดก๊าซฯ จริงๆ แต่กลับใช้แนวคิดการชดเชยมาขับเคลื่อน ทำคาร์บอนเป็นบัญชี แล้วหักกลบลบหนี้แทน หรือที่เรีกว่า Carbon Offset โดยมีตลาดคาร์บอนเป็นตัวขับเคลื่อน
ดร.กฤษดา อีกกล่าวว่า จริงๆ ระบบนี้เริ่มมาไม่นาน โดยในปี 1989 เริ่มมีโปรเจคของบริษัทน้ำมันเริ่มไปปลูกป่าที่กัวเตมาลา แล้วก็มาอ้างว่าลดคาร์บอนได้ นำมาสู่พิธิสารเกียวโต เรื่อง CDM (Clean Development Mechanism) ที่เอาพื้นที่ป่าไม้ในประเทศกำลังพัฒนามาช่วยดูดซับ แล้วให้ประเทศที่พัฒนาแล้วซื้อเอาคาร์บอนเครดิตไป แล้ว COP29 ก็เริ่มเอากลไกเหล่านี้กลับเข้ามาใหม่ในกลไกตลาดคาร์บอนที่กำลังสร้าง
จะเห็นได้ว่า Net Zero ที่เกิดจากนักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้ที่เอาไอเดียมาจากกฏหมายอากาศสะอาดของสหรัฐฯ ที่มีเรื่อง Cap and trade หรือ การกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซฯ ที่หากมีการปล่อยก๊าซฯ เกิน ก็ไปซื้อสิทธิ์คนอื่นมาปล่อยต่อ นี่เป็นแนวคิด Net Zero ที่เติบโตขึ้นมา
ดร.กฤษดา ชี้ว่า ปัญหาของแนวคิด Net Zero ในเชิงอุดมคติ มันทำได้แค่เสมอตัว เพราะว่าต่อให้ทำได้สมบูรณ์ที่สุด ก็คือทำได้แค่การปล่อยก๊าซฯ และการหักกลบเป็นศูนย์ ที่เราลืมไปคือ ปริมาณที่อยู่บนชั้นบรรยากาศอีกมหาศาลซึ่งจะทำให้โลกวิบัติไปอีกเป็นร้อยปี เราจะทำอย่างไร แนวคิดนี้ จึงตอบโจทย์ได้แค่เสมอตัว และในทางปฏิบัติ ก็แค่พยายามลดหรือชะลอไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ
ปริมาณคาร์บอนบนชั้นบรรยากาศยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ความหนาแน่นอยู่ที่ประมาณ 350 ส่วนต่อล้านส่วน หรือ 350 PPM ยุคนั้นยังไม่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่พอปัจจุบันเพิ่มเป็น 420 PPM ถ้าคำนวณเป็นตันคาร์บอน มันล่องลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศระดับ 10 กิโลเมตร ประมาณ 5 แสนกว่าล้านตันคาร์บอน จะเอาปริมาณคาร์บอนอันมหาศาลนี้ลงมาจัดการอย่างไร, ดร.กฤษดาตั้งคำถาม
เขากล่าวอีกว่า ผลก็คือ เมื่อมีการชดเชยได้เรื่อยๆ ก็มีการปล่อยก๊าซฯ ไปเรื่อยๆ และมากขึ้น เพราะทุนนิยมยังอนุญาตให้อุตสาหกรรมฟอสซิลโตต่อไป และปล่อยก๊าซฯ ได้เรื่อยๆ ทั้งนี้ สัดส่วนการใช้พลังงานฟอสซิลยังเป็น 80% ในขณะที่พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นไม่ถึง 20%
“เราติดกับดักที่ว่า ถ้าเราตอบโจทน์ Net Zero ได้ จะตอบโจทย์ทุกอย่างได้” ดร.กฤษดากล่าว
ดร.กฤษดา กล่าวว่า แนวทางที่จะได้มาซึ่งเครดิตคาร์บอน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนวัตกรรมเอาคาร์บอนมาเก็บไว้ใต้ทะเลหรือที่เรียกว่า Carbon Capture and Storage ซึ่งมีสถาบันอย่าง International Energy Agency (IEA) ประเมินว่าต่อให้ทำเต็มที่ ก็ช่วยได้แค่ 5-10% เท่านั้น และเป็นการกระทำที่มีความเสี่ยงมหาศาล ไม่มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดกับระบบนิเวศ และยังไม่นับต้นทุนมหาศาลของการเอาคาร์บอนที่เป็นอากาศไปอัดเป็นของเหลว แล้ว dump ลงไปชั้นใต้ดิน
อีกแนวทางหนึ่งคือการใช้ธรรมชาติ คือเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ช่วยดูดซับคาร์บอน รายงานของ The Nature Conservancy ก็ระบุว่า ป่าไม้ดูดซับคาร์บอนได้แค่ 10-20% เท่านั้น ต่อให้ใช้ป่าทั้งโลกก็เอาไม่อยู่ หรือการใช้ทะเลเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน ทะเลก็สามารถดูดซับได้ประมาณ 5-10 % เพราะทะเลก็เริ่มอิ่มตัวกับการดูดซับคาร์บอน จนตอนนี้ทะเลก็มีปัญหาการคุมสมดุลของระบบนิเวศไม่ได้ หและการใช้เกษตรฟื้นฟูหรือที่เรียกว่า Regenerative Agriculture ก็ได้แค่ส่วนน้อย, ดร.กฤษดากล่าว
“พูดง่ายๆ จะใช้เทคโนโลยีหรือธรรมชาติ ไม่สามารถเป็นคำตอบให้ Net Zero และ Net Zero ไม่สามารถเป็นคำตอบในการลดก๊าซเรือนกระจก” ดร.กฤษดากล่าว
ดร.กฤษฏา กล่าวอีกว่า Net Zero และคาร์บอนเครดิตยังมีปัญหาเรื่องความโปร่งใส เรื่องการประเมินที่ผิดพลาด เช่น กรณีการใช้ป่าอเมซอนดูดซับคาร์บอนที่รัสเซีย หรือใช้ป่าที่แคนาดา ตอนป่ายังดีก็ประเมินค่าการดูดซับระดับหนึ่ง แต่หลังประเมินไปแล้ว ป่าเกิดไฟไหม้ขึ้นมา ก็ดูดซับไม่ได้ตามประเมิน ซึ่งจะทำให้ค่าการประเมินที่ทำไปแล้วก็ไม่ถูกต้อง
ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วนี้ มีรายงานว่าภาคป่าไม้ก็แทบจะดูดซับคาร์บอนไม่ได้แล้ว หมายความว่า การปลูกป่าทดแทนแทบจะไม่ตอบโจทย์ คำตอบของปัญหาทั้งหมดก็คือถ้าอุตสาหกรรมฟอสซิลไม่ลด ธรรมชาติอะไรก็เอาเรื่องโลกร้อนไม่อยู่, ดร.กฤษดาระบุ
ดร.กฤษดายังได้อ้างถึงนักวิชาการด้านความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศชื่อดัง Larry Loahmann ซึ่งได้จับตาเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี โดยบอกว่า Net Zero กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดของบริษัทและรัฐบาลที่ยังสนับสนุนฟอสซิล ทุกๆอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานฟอสซิลก็ประกาศความเป็น Net Zero เสมอ แต่ไม่ลด ไม่เปลี่ยนการใช้พลังงานฟอสซิล บริษัทน้ำมันใหญ่ๆ 5 บริษัทของโลกยังเติบโตต่อไป โดยทุกแห่งประกาศมาตรการ Net Zero บริษัทที่ดำเนินมาตรการ Net Zero กว่า 2,000 แห่งทั่วโลก มีแค่ 4% เท่านั้นที่ผ่านการตรวจสอบว่าเอาจริงเอาจังกับมาตรการ ทำได้จริง, ดร.กฤษดากล่าว
“เรากำลังถูกเครื่องมือสำคัญคือแนวคิด Net Zero พรางตาเราอยู่หรือเปล่า ปัญหาที่เราคุยกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฟอกเขียว หรือเรื่องอะไรต่างๆ ก็วนเวียนอยู่ในเรื่องราวเหล่านี้” ดร.กฤษดาตั้งคำถาม
ดร.กฤษดา กล่าวว่า แนวคิดเรื่อง justice ไม่มีอยู่ในแนวคิด Net Zero เลย จึงไม่สามารถตอบโจทย์ความเป็นธรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับชนพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่นที่บางประเทศกำลังใกล้จมน้ำหรือบางหมู่เกาะกำลังจะจมหาย หรือแม้แต่เกษตรกรประเทศไทยที่เผชิญวิกฤตน้ำท่วม เม็ดเงินที่ไหลไปอยู่ในกลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม่ได้ไหลไปสู่ชีวิตของเกษตรกรและกลุ่มคนเปราะบางเหล่านี้ ประเทศไทยเองได้ไม่กี่โปรเจค และอยู่ในมือขององค์กรขนาดใหญ่ และอยู่ในระยะทดลองมาตลอด, ดร.กฤษดากล่าว
“ถ้าเราเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะ COP29, COP30, ไป COP31 ถ้าโจทย์ใหญ่ไม่ตอบคือ การที่จะ phase out fossils ไม่มีทาง จะเพิ่มเงินชดเชยให้เท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้า ฟอสซิลไม่เปลี่ยน หายนะนี้ไม่มีทางเปลี่ยน” ดร.กฤษดากล่าว
ดร.กฤษดา กล่าวว่า นี่จึงเป็นที่มาของ Real Zero ที่หมายถึงการลดก๊าซฯ จริงๆ โดยเอาบาง sector ขึ้นมาก่อน เช่น พลังงาน ที่ควรมีการเปลี่ยนผ่านให้รวดเร็ว ถ้าจะลด 43% ที่กำหนดในปี 2030 ให้ได้ ก็ต้องลดจริงๆ แนวคิดนี้ เริ่มดังขึ้นจากภาคประชาสังคม ชาวบ้าน ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก ไม่เช่นนั้น การเจรจาฯ ใน COPs ต่อไป ไม่สามารถเปลี่ยนเกมนี้ได้
“กลับไปที่คำถามเดิมว่า ถ้าเราอยากจะเปลี่ยน แนวคิดทุนนิยมของ Fukuyama ตอบคำถามได้มั้ย? Net Zero มันบอกเลยว่า ตอบเรื่องนี้ไม่ได้
“คำตอบสุดท้ายคือ การเปลี่ยน culture ของโลก ให้กลับไปเกื้อกูลกับธรรมชาติให้ได้ ไม่เช่นนั้น เราจะไม่มีโลกใบหน้าสำหรับคนรุ่นต่อไป” ดร.กฤษดากล่าว










FB LIVE RECORDING: Dialogue Forum 4 I Year 5: Climate (In) Justice?, A Reflection of Civil Society/ Power Point
Freelance journalist และอดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์สายการศึกษาและรายงานพิเศษ