ก่อนการประชุมเจรจาโลกร้อนครั้งที่ 30 ณ เมือง เบเลม ประเทศบราซิล (Belém, Brazil) ในเดือนพฤศจิกายนที่จะมาถึงนี้ Dialogue Forum ได้เชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญร่วมวิเคราะห์ผลการประชุมการเจรจาฯ ครั้งที่ 29 ที่จะปูพื้นนำไปสู่การพูดคุยครั้งสำคัญที่บราซิล ซึ่งจะเป็น “ครึ่งทาง” (Halfway) ของการดำเนินการตามข้อตกลงปารีส (2015 Paris Agreement) ที่เริ่มต้นอย่างจริงจังในปี 2020 เป็นต้นมา โดยเฉพาะประเด็นความเป็นธรรมด้านภูมิอากาศ
ในเวทีเสวนา Dialogue Forum 3 l Year 5: Post COP29 และเส้นทางสู่อนาคต, รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ประธานกรรมการบริหารศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา (Future Tales LAB By MQDC) และผู้เชี่ยวชาญในคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ IPCC ( Intergovernmental Panel on Climate Change ) กล่าวถึงการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 29 หรือ COP29 ( Conference of Parties) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ระหว่างวันที่ 11-22 พ.ย. 2567 ว่า การเริ่มต้นของการประชุมฯ ก็เป็นไปด้วยบรรยากาศที่ไม่ดีแล้ว โดยนายอิลฮัม อาลิเยฟ ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน ประเทศเจ้าภาพ ขึ้นกล่าวต่อที่ประชุมฯ ว่า น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็น “ของขวัญ” จากพระเจ้า และประเทศต่างๆ ไม่ควรถูกกล่าวโทษที่มีมัน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า การประชุม COP ที่ผ่านๆ มา พยายามกำหนดเป้าหมายในการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน
นอกจากนี้ ข่าวการชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็ยิ่งทำให้สังคมหรือผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกไม่คาดหวังกับ COP29
“เริ่มต้นมันก็ไม่ดีละ “progress in doubt” แล้วเรื่องการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Finance ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกก็บอกว่าต้องการถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่สุดท้ายข้อตกลง Baku Finance Goal ก็มาจบที่จะให้ประเทศพัฒนาแล้วมอบเงินช่วยเหลือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มจากเดิม 1 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น 3 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี ข้อตกลงนี้ก็ถูกมองว่า “No real money on the table.”
“ที่สำคัญประการหนึ่งในเวทีครั้งนี้ ไม่มีการพูดถึงการเปลี่ยนผ่านในการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเลย เรียกได้ว่า “Failure to explicitly repeat the call for transition away from fossil fuels” มันก็ยิ่งทำให้สังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าหนทางบรรเทาภาวะโลกร้อนนี้มันแคบจริงๆ” รศ. ดร.เสรีกล่าว
นอกจากนี้ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาก็ยังทะเลาะกันเรื่องการจัดสรรความช่วยเหลือ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าแล้วเราจะเดินไปกันอย่างไรในหนทางแบบนี้ ประเทศไทยต้องกลับมาดูตัวเอง พึ่งตัวเองดีกว่า อย่าไปคาดหวังการประชุมฯ, รศ. ดร.เสรีกล่าวเพิ่มเติม

รศ. ดร.เสรี กล่าวว่า ในขณะที่โลกต้องการคุยกันเพื่อลดอุณหภูมิ IPCC เอง และ Copernicus Climate Change Service หน่วยงานติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรปก็มีรายงานสภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยรายวันทั่วโลกปี 2024 ทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อเดือนกรกฏาคม ไปถึง 17.16 องศาเซลเซียส ซึ่งค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 1.2 องศาเซลเซียสแล้ว และคาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นไปแตะ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งภายใต้ความตกลงปารีส ค.ศ. 2015 ต้องจำกัดอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส และควบคุมไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตัวเลข 1.5 องศาเซลเซียสกลับโผล่มาให้เห็นแล้ว มาก่อนถึง 30 ปี ซึ่ง overshoot เกินเลยไปมาก
อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นก็จะเป็นเหตุให้เกิดคลื่นความร้อน ผู้คนจะอยู่กับอากาศที่ร้อนขึ้นและกินเวลานานขึ้นกว่าเดิม ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อดูข้อมูลก็จะเห็นว่าจำนวนภัยพิบัติในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หนักหนาสาหัสมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ยุโรปก็เกิดมาก แต่ด้วยนวัตกรรมของเขาทำให้ผู้เสียชีวิตน้อย, รศ. ดร.เสรีกล่าว
รศ. ดร.เสรี กล่าวว่า IPCC ได้ทำฉากทัศน์ 3 แบบเกี่ยวกับการจำกัดอุณหภูมิโลกให้องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้เห็นภาพ แบบแรก We win คือเราสามารถจำกัดอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แบบที่สอง We survive, but struggle เราสามารถควบคุมไว้ให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส แบบที่สาม We fail คือเราทำไม่สำเร็จ อุณหภูมิอาจสูงเกินเลยไปแตะ 3 องศาเซลเซียส
เมื่อพิจารณาแต่ละแบบจะพบว่า แบบแรกนั้นยากมากที่จะทำได้ เพราะต้องลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเกือบ 50% ภายในปี ค.ศ.2030 มีเวลาทำ 5 ปี ขณะที่ปัจจุบันการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเพิ่มขึ้นอยู่ปีละ 2% ต้องลงทุนเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานมหาศาลมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม รักษาป่าไม้ ฉะนั้นก็จะเหนื่อยมาก
แบบที่สองอาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ท้าทายมากคือ จำกัดอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส โดยลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 28% ภายในปีค.ศ. 2030 เปลี่ยนผ่านมาใช้พลังงานหมุนเวียน ดูแลรักษาป่าไม้ ทำได้เท่านี้ สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือคลื่นความร้อน อุทกภัย และปริมาณน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น
แบบที่สาม ทำไม่สำเร็จ อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 2.6 องศาเซลเซียส และมีโอกาสเป็นไปได้ว่าจะเกินเลยไปถึง 3.1 องศาเซลเซียส การปลดปล่อยมลพิษในโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โลกก็เข้าสู่อันตรายจากพายุความร้อน สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว สิ่งมีชีวิตอยู่ลำบาก รศ. ดร.เสรีอธิบาย
รศ. ดร.เสรี กล่าวว่า ในปี 2024 ได้เห็นแล้วว่าประเทศไทยโดนหนักขนาดไหน ต้นปีเจอภาวะภัยแล้ง สูญไปราว 8 หมื่นล้านบาท กลางปีน้ำท่วมใหญ่สูญไปอีกราว 5 หมื่นล้านบาท ยังไม่รวมปลายปีน้ำท่วมภาคใต้อีกแสนกว่าล้านบาท ในระยะปัจจุบันนี้ จะเห็นปัญหาความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศ เรื่องฤดูหนาวสำหรับประเทศไทยถ้าเกณฑ์อุณหภูมิฤดูหนาวอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส แล้วประกาศเปลี่ยนฤดูแบบครอบคลุมทั้งประเทศ ต่อไปนี้คงจะยากแล้ว คงต้องประกาศเฉพาะบางจังหวัด อย่างเชียงใหม่ เชียงราย ส่วนกรุงเทพมหานครในระยะยาวจะเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด คาดการณ์อุณหภูมิสูงสุดจะไปถึง 42-43 องศาเซลเซียส กินระยะเวลายาวนานสามถึงสี่เดือน แบบนี้จะอยู่กันอย่างไรกับเรื่องอุณหภูมิที่สูงขึ้น, รศ. ดร.เสรีตั้งคำถาม
รศ. ดร.เสรี กล่าวว่า เมื่อมาดูเรื่องแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ Nationally Determined Contributions (NDCs) ในเรื่องเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net Zero ของไทยอาจจะเป็นปัญหาได้ เพราะหลายประเทศตั้งเป้าว่าจะ Net Zero ภายในปีค.ศ 2050 แต่เป้าของไทยช้ากว่าเขาไป 15 ปี คือค.ศ. 2065 ฉะนั้น ประเทศในกลุ่มปี 2050 ก็วิจารณ์กันแล้วว่าจะไม่คบประเทศที่ตั้งเป้าในปี 2065 ก็น่าเป็นห่วงว่าหากเป็นแบบนี้ จะมีมาตรการประเภทตั้งกำแพงภาษีกีดกันการค้าตามมาหรือไม่ แล้วถ้าต้องปรับแผนทำให้ได้ภายในปี 2050 impacts จะมหาศาล เป็นภาระกับประชาชน จะหาทางออกกันอย่างไร
“รัฐบาลก็ต้องไปประเมิน ไปชั่งดูว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนตัวก็ไม่เชื่อมั่นกับ roadmap ที่เป็นอยู่ว่าจะทำได้ไหม แม้จะไปใช้ EV ก็ตาม ภาคเอกชนบอกว่าเค้าใช้พลังงานสูงมาก renewable ก็ทำให้ 30% แล้ว แล้วอีก 70% อยู่ที่ภาครัฐ? มันยากมาก มันยากแต่เราก็ต้องตั้งความหวังแล้วไปให้ได้ Carbon Brief บอกว่า target ของเราตอนนี้คือ critically insufficient คือใช้ไม่ได้” รศ. ดร.เสรี กล่าวสรุปสถานการณ์ของประเทศไทยและความท้าทายในการประชุมครั้งหน้า















FB LIVE RECORDING: Dialogue Forum 3 I Year 5: Post COP29 and the Way Forward/ Power Point
ความท้าทายในการปรับตัว
ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย Thailand Development Research Institute (TDRI) กล่าวว่า จากการเจรจาฯ COP29 มีความคืบหน้าน้อย ไทยต้องเร่งปรับตัว ไม่ต้องคิดหวังจะพึ่งใคร ต้องกลับมาช่วยตัวเอง จะเห็นได้ชัดว่า ข้อตกลงช่วยเหลือทางการเงินไม่ได้เยอะ และมันจะไปได้อย่างช้าๆ ฉะนั้น ประเทศไทยควรต้องช่วยเหลือตัวเอง เพราะไม่มีใครมาช่วยได้
ดร.เสาวรัจ กล่าวว่า ในการเจรจาฯ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวมีสองประเด็นคือ การปรับเปลี่ยนลดคาร์บอน ทำอย่างไรให้คาร์บอนลดลงเพื่อจะลดโลกร้อน ซึ่งความเสี่ยงอาจจะมีในระยะเปลี่ยนที่ต้องช่วยกันกดดันให้ลดคาร์บอนลงให้ได้
อีกประเด็นหนึ่งคือ การปรับตัวให้อยู่รอดในโลกที่มันร้อนขึ้น (Adaptation) ประเด็นนี้พูดกันน้อยมากในเวทีการประชุมลดโลกร้อนทุกครั้งที่ผ่านมา มีการพูดถึงการให้เงินทุนมาช่วย แต่ ยังกว้างๆ ไม่ชัดเจน ว่าจะให้อย่างไร เมื่อไหร่ ดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาต้องเน้นทำเรื่องนี้ให้มาก เพราะต้องอยู่กับมัน ทำอย่างไรถึงจะรับมือกับภาวะโลกร้อนโลกรวน ที่มันจะถี่ขึ้นรุนแรงขึ้น
ดร.เสาวรัจ กล่าวว่า ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ของโลก (อันดับที่ 9) ที่ถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นประเทศเล็ก ปล่อยมลพิษไม่เยอะ แต่กลับเจอความเสี่ยงสูง โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญภัยพิบัติด้านภูมิอากาศถึง 146 ครั้ง ผู้เสียชีวิตมากกว่า 138 คนต่อปี ความเสียหายประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี ประมาณ 0.8% ของ GDP
“ในอนาคตมันจะโหดกว่านี้ มันจะร้อนหนัก ร้อนนาน ผู้คนจะอยู่กันอย่างไร มันอยู่ไม่ได้ ยิ่งประเทศเกษตรกรรมอย่างไทย ผลผลิตต้องพึ่งพิงสภาพภูมิอากาศสูง เกษตรกรจะเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด อุณหภูมิ 35 องศา มากกว่า 50 วันไปแล้ว อยากให้ภาครัฐให้ความสำคัญมากๆ เพราะว่าถ้าภาครัฐไม่ทำแล้ว ไม่มีใครที่จะไปทำได้เพราะว่ามันต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล” ดร.เสาวรัจกล่าว
ดร.เสาวรัจ กล่าวว่า ในส่วนที่บอกว่าปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด แนวคิดของ Global Commission on Adaptation บอกว่าที่ต้องทำ ข้อแรกก็คือ ลดและป้องกัน (Mitigation and Prevention) เช่น งานวิจัยพัฒนาเกษตร การปรับโครงสร้างพื้นฐาน การปรับแผนการใช้ที่ดิน หรืออาจจะต้องมีการย้ายถิ่นฐานถาวร
ถัดมาคือ การเตรียมและตอบสนอง (Preparedness and Response) หัวใจสำคัญคือการเตือนภัยล่วงหน้า ทำอย่างไรถึงจะทำให้ระบบเตือนภัยเรื่องล่วงหน้าสามารถทำงานได้ดี การสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประสบภัย และย้ายถิ่นฐานชั่วคราว สุดท้ายก็คือ การกู้คืนและการฟื้นฟู (Rehabilitation and Recovery) ทำอย่างให้มันฟื้นฟูกลับมาได้ การสร้างการประกันภัย การสร้างเครือข่ายทางสังคมเหลือคนกลุ่มเปราะบาง การฟื้นฟูสุขภาพและการศึกษา
ดร.เสาวรัจ กล่าวว่า ในมุมของประเทศไทย จาก 2024 Annual Conference ของ TDRI ก็คือ เราต้องปรับโครงสร้างในการเปลี่ยนผ่านเพื่อจะต้านความเปราะบาง ก็ถือว่าช่วยคนที่อยู่ในภาคที่เปราะบางให้สามารถปรับตัวได้มากขึ้น ประเทศไทยต้องปรับโครงสร้าง เช่น มีการลงทุนทำสิ่งที่มีประโยชน์ร่วมกัน อาทิ มีกองทุนในการช่วยเหลือผู้ที่อยู่พื้นที่เสี่ยง ทำอย่างไรให้เขาสามารถย้ายถิ่นฐาน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
และที่สำคัญคือ เรื่องปรับนโยบายและระบบบริหารประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากปัญหาซับซ้อนไม่สามารถแก้ได้ตามรายกระทรวง หรือด้วยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ดร.เสาวรัจ เสนอแนะว่า ทั้งประเทศต้องปรับ ต้องเห็นความสำคัญว่ามันไม่ใช่เรื่องของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งหรือพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของประเทศ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ภาคนโยบายหรือการเมืองมี mindset แบบนั้น
เมื่อพอรู้ว่าต้องปรับระบบของประเทศและนโยบาย ก็มาถึงการปรับตัวเพื่อสร้างความได้เปรียบ อย่างการผลิตอาหารโดยการเน้นในเรื่องของการทำให้สินค้าเกษตรมีคุณภาพสูง ใช้ทรัพยากรที่น้อยเพิ่มผลผลิต การสร้าง supply chain ที่มีความยืดหยุ่น สามารถรับมือกับผลกระทบได้ มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ และสุดท้ายคือพัฒนาการท่องเที่ยวสุขภาพและวัฒนธรรม เพื่อกระจายรายได้, ดร.เสาวรัจกล่าว
ดร.เสาวรัจ ยังกล่าวอีกว่า ประเทศไทยมี 4 เรื่องด่วนที่ต้องทำ ข้อแรกก็คือ การสร้างงานใหม่ทดแทนงานกลางแจ้ง อย่างที่เห็นภาคเกษตร ชาวนาชาวสวนชาวไร่จะประสบความยากลำบากมากขึ้นจากความร้อน ผลผลิตลดลง เกษตรต้องปรับตัวจากเดิมที่อยู่ในที่ร้อน กลางแจ้งได้นาน จะทำอย่างไรที่จะช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ การที่อาจจะต้องพิจารณาการที่จะใช้พืชตกแต่งพันธุกรรม แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียง ก็ต้องให้มีการศึกษาที่ชัดเจน แล้วบอกว่าจะไปกันทางไหน ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่กับความคลุมเครือ หรือในเรื่องของการใช้น้ำ ต้องมีการคิดค่าใช้น้ำตามต้นทุน ไม่อย่างนั้นก็จะมีการทะเลาะกันแก่งแย่งกันอย่างที่เห็นได้ชัด พื้นที่ EEC ที่มีปัญหาระหว่างภาคอุตสาหกรรมภาคเกษตร ก็มีเรื่องของความยุติธรรมในการใช้ต้องมีการจ่ายเงินค่าน้ำตามต้นทุนจริงๆ
เรื่องที่ 2 คือ การปรับปรุงเมืองลดความเสี่ยง อินโดนีเซียพูดแล้วจะมีการย้ายเมืองหลวง ประเทศไทยก็มีพูดมาบ้างแล้ว กรุงเทพฯก็เสี่ยง ก็ต้องคิดกันระยะยาว,ดร.เสาวรัจ กล่าว
ประเด็นที่ 3 คือ การพัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติที่ลดความเสี่ยง ซึ่งมีเรื่องของการกระจายอำนาจ แต่ทำงานบูรณาการ ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นการทำงานที่เรียกว่า รวมศูนย์อำนาจ (Centralised) แต่ทำงานแบบแยกส่วน หรือว่า Fragmented คือกรุงเทพฯ เป็นศูนย์บัญชาการ แต่คนพื้นที่เค้ารู้เรื่องราวที่ดีกว่า เหตุใดจึงไม่ให้คนพื้นที่เป็นคนจัดการตัวเอง หรือว่ามีอำนาจในการบัญชาการว่าจะทำอะไร
ดร.เสาวรัจ กล่าวในประเด็นนี้ว่า ปัจจุบันเราให้อำนาจผู้ว่าฯ ตามกฎหมาย แต่อำนาจความรับผิดรับชอบขึ้นกับส่วนกลาง เช่น จะคุยกับกรมชลประทานก็ไม่ได้ ต้องไปที่อธิบดีกรมชลประทาน เจ้าหน้าที่ ปภ. ก็เป็นคนของมหาดไทย จะเห็นได้ว่าเนื่องจากการที่มีการทำงานแบบแยกส่วนแบบนี้ เพราะฉะนั้น ประเทศไทยก็จะเห็นภัยพิบัติเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องการแก้ไขการใช้ที่ดินที่ผิดพลาด อย่างเขตแม่สายเห็นชัดเจนว่ามีการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ที่มันไม่สมควรจะอยู่
สุดท้ายคือเรื่องการเตรียมเงินทุนเพื่อการปรับตัว เวลาเกิดเหตุ รัฐมักเอาเงินไปแจกแต่มันไม่ควร รัฐบาลควรจะใช้เป็นเงื่อนไขให้เขาปรับตัวด้วย หรือว่ามากไปกว่านั้นก็คือ การใช้ประกันภัย ซึ่งต่างประเทศใช้กัน ก็คือการใช้ประกันภัยเพื่อลดความเสี่ยง ไม่ใช่ว่าเมื่อความเสี่ยงเกิดขึ้นแล้ว ค่อยเอาไปอุ้มแล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์, ดร.เสาวรัจกล่าว
“ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เราเห็น มันจะเกิดถี่ขึ้นบ่อยขึ้นรุนแรงขึ้น 20 ปีที่ผ่านมา ความเสียหายจากน้ำท่วมลำพัง มีผู้เสียชีวิตไปแล้ววัน 2000 คนเสียหายไปประมาณเกือบ 60,000 ล้านดอลลาร์นะคะ ซึ่งก็คิดไปประมาณ 2 ล้านล้านบาทแล้ว” ดร.เสาวรัจกล่าว

การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance)
รศ. ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า COP29 เป็น COP ที่พูดคุยกันเรื่องการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ซึ่งได้ข้อตกลง 3 เรื่องหลักๆ เรื่องแรก Climate Finance ประเทศที่พัฒนาแล้วจะจัดสรรเงินให้อย่างน้อย 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 10.2 ล้านล้านบาท แก่ประเทศกำลังพัฒนาภายในปี ค.ศ. 2035 เพื่อช่วยหนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก และปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ผู้คนจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สูงขึ้นกว่าเดิมที่เคยตกลงจะจ่าย 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
อย่างไรก็ตาม ยอดเงินก้อนใหม่ที่ตกลงเพิ่มขึ้นมานี้ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมองว่าเป็นเงินน้อยนิดมาก เงินก้อนนี้ควรจะได้ถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 44 ล้านล้านบาท ถึงจะเพียงพอ ซึ่งก็มี Road Map ร่วมกันจาก Baku ถึง Belem ว่าจะผลักดันให้เพิ่มยอดเงินกันต่อในการประชุม COP30 ปีหน้าที่ประเทศบราซิล โดย รศ. ดร.วิษณุ กล่าวว่า ก็เป็นความท้าทายเยอะพอสมควร โอกาสน่าจะเกิดยาก
รศ. ดร.วิษณุ กล่าวว่า เรื่องที่สองเกี่ยวกับกองทุนชดเชยความสูญเสียและความเสียหาย Loss and Damage Fund ตอนนี้มีเงินบริจาคจาก 26 ประเทศอยู่ที่ 730 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 24,000 ล้านบาท จะเริ่มใช้ปีหน้า เน้นช่วยประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็ก ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด และประเทศในทวีปแอฟริกาเป็นหลักก่อน เงินก้อนนี้ก็ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กระทบอยู่ประมาณ 1.8% ของ GDP โลก หรือ 53 ล้านล้านบาทต่อปี ฉะนั้น โอกาสที่ไทยจะเข้าถึงเงินกองทุนนี้เป็นไปได้ยาก เพราะ priority อยู่ที่ประเทศเหล่านั้น ความท้าทายคือ การบริจาค จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะมีการบริจาคต่อเนื่องในขณะที่ความเสียหายเกิดขึ้นทุกปี, รศ. ดร.วิษณุตั้งคำถาม
เรื่องที่สามเป็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดด จะเกี่ยวกับตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ COP29 ได้มีการยอมรับ Paris Agreement มาตรา 6 ให้มีระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตข้ามพรมแดนที่ควบคุมได้ ปัจจุบันมีมาตรฐานที่เป็นสากลอยู่หลายแบบ เพื่อให้มีต้นทุนในการปรับเปลี่ยนไปสู่คาร์บอนต่ำถูกลง ลดต้นทุนของ NDCs ได้ครึ่งหนึ่ง, รศ. ดร.วิษณุกล่าว โดยยกตัวอย่างของไทยคือ ภาคสมัครใจ Premium T-VER
รศ. ดร.วิษณุ กล่าวว่า UN จะดำเนินการยกระดับเรื่องนี้โดยออกแบบมาตรฐานที่เป็นสากลของโลกให้น่าเชื่อถือ โปร่งใส ตรวจสอบได้ พิสูจน์ได้ว่าลดคาร์บอนจริง ไม่ใช่ฟอกเขียวหรือรายงานผลไม่ถูกต้อง ไม่เกินความเป็นจริง ระมัดระวังการรั่วไหล จะมีผู้พัฒนาโครงการ นายหน้าซื้อขาย ไปจนถึงผู้ซื้อสุดท้าย จะมีตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตระดับโลกที่สนับสนุน โดย UN มีกลไกของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ United Nation Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) กำกับดูแลเรียกว่า กลไกให้เครดิตข้อตกลงปารีส
คำถามจาก รศ. ดร.วิษณุ ก็คือ ประเทศไทยมีผู้เล่นหรือโครงสร้างเหล่านี้พร้อมมากน้อยแค่ไหนแล้ว
Climate Finance กับแนวทางในอนาคตของประเทศไทย
รศ. ดร.วิษณุ กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถได้รับประโยชน์จากข้อตกลงทางการเงินและกลไกสนับสนุนอย่างคาร์บอนเครดิตที่เกิดข้ึน โดยเฉพาะในด้านเกษตรและพลังงานในภาคเกษตร โดยต้องมีการวางแนวทางเพื่อเตรียมการสำหรับอนาคต พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส กล่าวคือ ต้องมีการกำหนดแนวทางและในการเตรียมข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจาก Climate Finance
รศ.ดร.วิษณุ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องเตรียมข้อเสนอโครงการให้ดี เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะได้รับความช่วยเหลือก็ต้องเสนอข้อเสนอโครงการที่ดีพอสมควรนั่นเอง ประเด็นที่ 2 ก็คือ ต้องหาพันธมิตรร่วมทุนทั้งระดับองค์กรระหว่างประเทศ รัฐบาล หรือภาครัฐ รวมถึงเอ็นจีโอ ในประเด็นที่สำคัญๆ เช่นในเรื่องของพลังงานหมุนเวียนจะลงทุนอย่างไร หรือในระบบอาหาร หรือการวิจัยและพัฒนาต่างๆ โดยเฉพาะในมิติของพืช ปศุสัตว์ และสัตว์น้ำ และท้ายสุด จะผลักดันในเรื่องของการจัดทำระบบและเตรียมทรัพยากรอย่างไรเพื่อรองรับเรื่องคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ, รศ. ดร.วิษณุกล่าว
รศ.ดร.วิษณุ เสนอแนวคิดในการขอรับการสนับสนุนจาก Climate Finance และกอมงทุนหรือกลไกทางการเงินที่เกี่ยวข้องว่า ลำดับแรกคือ การลงทุนแหล่งน้ำ โดยเฉพาะแหล่งน้ำที่อยู่นอกเขตชลประทานเพื่อลดความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ
โดยปัจจุบัน ครัวเรือนเกษตรไทยในเขตชลประทานมีเพียง 26% อีก74% ยังเข้าไม่ถึงแหล่งน้ำ เพราะฉะนั้นแล้ว ตรงนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเกษตร มีความเปราะบางที่น้อยลงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รศ. ดร.วิษณุแนะนำว่า ประเทศไทยควรจะต้องเร่งดำเนินการเปลี่ยนรูปแบบการให้เงินช่วยเหลือในภาคเกษตร รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ เอง ชอบให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าเพื่อเยียวยาเกษตรกร แบบไม่มีเงื่อนไข เกษตรผู้ปลูกข้าวได้รับความช่วยเหลือผ่านหลายโครงการ เช่น ชดเชยค่าเก็บเกี่ยวหมายความว่า 95%ของเกษตรกรไม่ต้องทำอะไร รัฐบาลจ่ายให้ชดเชยค่าเก็บเกี่ยว ไม่ต้องปรับตัวเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตหรือเพิ่มภูมิคุ้มกันก็ได้เงินมา ได้ประกันภัยนาข้าว เยียวยาภัยพิบัติ และได้พักชำระหนี้ด้วย มีหลาย options
ซึ่ง รศ. ดร.วิษณุตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายเกษตรภาครัฐในปัจจุบันเน้นการแจกเงินให้เปล่าแบบลักษณะประชานิยม ถือว่าเป็นผลเสีย หากอนาคตยังไม่ลดลง แล้วประเทศจะไปขอความช่วยเหลือ อาจจะไม่ได้เงิน เพราะว่ามีความขัดแย้งของนโยบายระหว่างนโยบายในประเทศกับนโยบายที่จะไปขอยืมเงินเขานั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงต้องเร่งปรับเปลี่ยนเพื่อไปสู่การให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข และต้องให้ความรู้ไปด้วย พร้อมหลักประกันความเสียหาย โดยเฉพาะการจูงใจ, รศ. ดร.วิษณุเสนอแนะ โดยอาจจะเน้นให้เกษตรกรปรับใช้ในเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรเท่าทันภูมิอากาศซึ่งต้องเพิ่ม และการมีเจ้าหน้าที่หรือที่ปรึกษาทางการเกษตรให้มากขึ้น (Crop Advisors) เพราะปัจจุบันพึ่งพาเฉพาะภาครัฐอย่างเดียว
“ภาครัฐมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 10,000 คน แต่ครัวเรือนเกษตรมีประมาณ 8 ล้านครัวเรือน 12 ล้านแรงงานอยู่ในภาคเกษตร คำถามคือ 10,000 คนจะให้ความรู้เพียงพอได้อย่างไร ต้องยืมมือสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ รวมถึงภาคเอกชนมาร่วมกันให้ความรู้กับเกษตรกรด้วย” รศ. ดร.วิษณุ แนะ
นอกจากนี้ ประเทศไทยอาจจะขอเงินเพื่อนำไปสู่การยกระดับการส่งเสริมตลาดเช่าบริการเครื่องจักรกลการเกษตร และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy)
รศ. ดร.วิษณุ กล่าวว่า เทคโนโลยีและเครื่องจักรกลสมัยใหม่มีราคาแพง โดยเกษตรกรไทยที่มีพื้นที่ทำกินไม่มาก ลงทุนอย่างไรก็ไม่คุ้ม ตรงส่วนนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องเร่งจัดการส่งเสริมตลาดเขาเรียกว่าเช่าบริการผ่านเศรษฐกิจแบ่งปันรวมแปลงให้ได้ สุดท้ายแล้ว เกษตรกรก็จะเข้าถึงเครื่องจักรเครื่องมือที่ทันสมัย โดยเฉพาะการจ่ายค่าเช่าที่ราคาไม่แพงมาก แล้วหากเกิดทำให้ตลาดแข่งขันได้ทั่วประเทศก็น่าจะดีมาก ทั้งในเชิงของคุณภาพแล้วก็อัตราค่าเช่าบริการที่ถูกลงนั่นเอง
รศ. ดร.วิษณุ กล่าวว่า นอกจากการผลิต หากมองไปถึงการบริโภค หรือที่เรียกรวมๆ ว่า ระบบอาหาร มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 1/3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของโลก ในอนาคตจะมีมาตรการมากมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะฉะนั้น สินค้าของประเทศไทยทั้งเกษตรและอาหาร ถ้ายังไม่ลดการปล่อยก๊าซฯ อาจเจอมาตรการกีดกันทางการค้าและการลงทุนที่มากขึ้นนั่นเอง
ภาคเกษตรและอาหารรวมกันเป็นภาคที่ใช้ไฟฟ้าสูง ส่วนใหญ่ไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นลักษณะของการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมีพลังงานหมุนเวียนในประเทศที่ใช้เองประมาณสัก 15.8% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 25.4% ในอนาคต ถ้าเกิดมีการใช้นโยบายที่ปล่อยคาร์บอนเยอะ จะถูกปรับเยอ, รศ. ดร.วิษณุตั้งข้อสังเกต
ทั้งนี้ มี 65 ประเทศที่มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเกิน 50% แล้ว รวมทั้ง บราซิลที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ (87.4%) และเวียดนามคู่แข่ง (50.3%) ล้วนแต่มีพลังงานหมุนเวียนที่ล้ำหน้าประเทศไทย ในอนาคต ถ้าเกิดมีการบังคับใช้ C-Bam (Carbon Border Adjustment Mechanism) อาจทำให้ประเทศไทยลำบากได้ในมิติของขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย, รศ. ดร.วิษณุกล่าว
“ต้องใช้โอกาสนี้ในการขอเงินทุนจาก Climate Finance ในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แล้วต้องผลักดันกฎหมายด้วยให้มันเอื้อต่อการลงทุน แล้วมีนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน
“นอกจากนั้น ควรต้องสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับพลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีในเรื่องของการกักเก็บพลังงานหรือการขยายโครงข่ายไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เรื่องของความต่อเนื่องของการจัดหาพลังงานเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น แล้วก็สามารถมาชดเชยในส่วนของเชื้อเพลิงฟอสซิลได้นั่นเอง” รศ. ดร.วิษณุกล่าว
ในเรื่องของคาร์บอนเครดิต รศ. ดร.วิษณุ เสนอแนะว่า ภาครัฐต้องเป็นคนช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการทำเครดิตที่ได้มาตรฐานสากลอย่างของ UNFCCC ราคาของคาร์บอนที่ขายราคาจะสูงขึ้น ความต้องการคาร์บอนจะมีมากขึ้น เมื่อเทียบกับการขายเฉพาะภายในประเทศ ในเกษตรกรรายเล็กภาครัฐสามารถช่วยรวมแปลง กระทรวงเกษตรฯ กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น่าจะต้องร่วมมือกันในการกำกับดูแลการยื่นใบสมัครและการตรวจสอบออกคาร์บอนเครดิตภายใต้มาตรฐานสากล
รศ. ดร.วิษณุ กล่าวว่า ที่สำคัญอีกประการก็คือระบบตรวจสอบย้อนกลับ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่ของสินค้าเกษตร เริ่มมีการขอข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากภาคเอกชนที่ส่งออก ผู้ประกอบการรายกลาง รายย่อย รวมถึงเกษตรกร รัฐต้องช่วยสนับสนุน และในส่วนของตัวผู้บุคลากรในระบบ ประเทศไทยยังขาดแคลนเข้าขั้นวิกฤติ
โดยปัจจุบันประเทศไทยมีแค่ 14 บริษัทที่ทำเรื่องนี้ ในขณะที่ภาคเกษตรมี 150 ล้านไร่ และที่สำคัญน่าจะขาดไม่ได้เลย คือมาตรการจูงใจ ใครที่ผลิตสินค้าเกษตร คาร์บอนต่ำ หรือสินค้าอะไรก็ตามแต่ที่คาร์บอนต่ำต้องได้แรงจูงใจ, รศ. ดร.วิษณุ กล่าว

บทบาทของรัฐสภาและกฏหมายสนับสนุนฯ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ดร.ศนิวาร บัวบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชาชน และกรรมาธิการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณะภัย กล่าวว่า การประชุม COP29 ในภาคของสหภาพรัฐสภาโลก มีผู้เข้าร่วม 160 คน จาก 66 ประเทศ นอกจากจะมีข้อสรุปหลักว่า รัฐสภาทุกประเทศจะพยายามผลักดันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเทศตัวเองลง 43% ภายในค.ศ. 2030 แล้ว ยังตกลงกันว่า จะพยายามผลักดันให้เป้าหมาย Net Zero อยู่ภายในปี ค.ศ. 2050 ด้วย
ประเทศไทยมีเป้าหมายช้ากว่าประเทศอื่นๆไป 15 ปี อย่างอินโดนีเชียที่เป็นประเทศในอาเซียนเหมือนไทยและเป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงถ่านหิน ยังตั้งเป้า Net Zero ภายในปีค.ศ. 2050 นอกจากนี้ ภาครัฐสภาโลกก็จะช่วยกันติดตามให้รัฐบาลประเทศตัวเองลงทุนเรื่องพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น, ดร.ศนิวารกล่าว
ดร.ศนิวาร กล่าวว่า ถ้าไทยต้องปรับเป้าหมาย Net Zero ให้สอดคล้องกับประเทศ อื่นๆ ทั่วโลก ก็ต้องมุ่งไปที่ภาคพลังงานก่อน ทุกวันนี้อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย 70 % มาจากภาคพลังงานซึ่งใช้เชื้อเพลิงถ่านหินผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก เมื่อไปดูแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าของประเทศ Power Development Plan( PDP) ก็ยังมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ๆ อยู่ และแผนฯ ก็ว่าจะใช้พลังงานสะอาด 50% ในอีก 18 ปีข้างหน้า ซึ่งดูแล้วก็นานไป
ดร.ศนิวาร กล่าวว่า ใน NDCs ของไทย ตั้งเป้าจะยกเลิกใช้ถ่านหินภายในปี ค.ศ. 2050 แต่อนุกรรมาธิการศึกษาการเปลี่ยนผ่านพลังงานเชื้อเพลิงถ่านหินอย่างเป็นธรรมของรัฐสภาไทย พบว่า สามารถยกเลิกพลังงานถ่านหินได้เร็วกว่านั้น โดยทำได้ภายในปี ค.ศ. 2035
นอกจากนี้ เมื่อมาดูแผนการปรับตัวของไทยเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ National Adaptation Plan (NAP) แผนฯ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 แต่ ครม. เพิ่งลงนามอนุมัติปี 2024 โดย ดร.ศนิวาร กล่าวว่า แผนฯ ก็ยังเป็นกรอบกว้างๆ เกินไป เมื่อศึกษาแผนฯ ประเทศอื่น อย่างเนปาล ปากีสถาน เขามีการจัดลำดับความสำคัญสิ่งที่จะดำเนินการไว้ชัด แผนปรับตัวฯ ควรต้องมีกรอบระยะเวลาชัดเจน มีการวิเคราะห์ข้อมูล มีฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ในอนาคตให้เห็นว่าจะเกิดอะไรบ้าง จะปรับอย่างไร ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีอะไรเข้าช่วย จะได้วางกรอบงบประมาณหาแหล่งงบประมาณได้
20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเสียหายไปเยอะมาก แต่รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้น้อย จัดสรรงบสำหรับ NAP แค่ 0.24 % ของงบทั้งหมดในประเทศ ดร.ศนิวาร กล่าวว่า ต้องเร่งรัฐสภาออกกฎหมายโลกร้อน (พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) โดยเร็ว เพื่อรับมือ Climate Finance ซึ่งจะมีมาตรการกีดกันการค้าตามมา ซึ่งไทยต้องปรับตัวให้เร็วเพื่อให้ภาคเอกชนสู้และแข่งขันประเทศอื่นได้
ดร.ภาคภูมิ โลหวริตานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากการติดตามวิเคราะห์เนื้อหาร่างพ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะออกเป็นกฎหมายใหม่ของไทย และมองว่าน่าจะใช้กฏหมายตัวนี้เป็นเครื่องมือช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนทั้งระดับชาติ ระดับโลก ก็พบว่า ยังมีจุดอ่อนที่เป็นปัญหาหลายจุด มีแต่หลักการที่ดูดี แต่ไม่มีบทลงโทษหรือกระตุ้นให้หน่วยงานโดยเฉพาะภาครัฐหาทางปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย
ยกตัวอย่างในมาตราสำคัญๆ อย่าง มาตรา 8 จะเขียนเรื่องเป้าหมาย เช่น ไทยจะมีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 หรือ ค.ศ. 2050 และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2608 หรือ ค.ศ. 2065 กับมาตรา 9 ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนจัดทำเป้าหมาย แผนปฏิบัติการ และมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแต่ละภาคส่วนให้สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ รวมถึงบูรณาการเป้าหมายของประเทศให้เข้ากับภารกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามระยะเวลาที่กำหนด
“คือหลักการดีมาก แต่ก็ไม่ได้มีตัวกระตุ้นอะไรให้เห็นว่า แล้วถ้าหน่วยงานรัฐต่างๆ ทำไม่ได้ตามเป้าหมาย จะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีบทลงโทษใดๆ ไม่มีความรับผิดรับชอบใดๆ อย่างดีก็แค่คณะรัฐมนตรี หรือคณะกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คอยกำกับติดตาม
“มันก็น่าคิดว่ากฎหมายออกมาแบบนี้ พอถึงเวลาปฏิบัติจะประสบความสำเร็จได้มากแค่ไหน เพราะหน่วยงานภาครัฐสำคัญๆ ที่เกี่ยวพันกับการช่วยลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบันก็ยังไม่แสดงอะไรให้เห็นถึงความสอดคล้องต้องกันระหว่างนโยบายหน่วยงานรัฐกับเป้าหมายของประเทศในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ดร.ภาคภูมิกล่าว
ดร.ภาคภูมิ กล่าวว่า ตัวอย่างเรื่องถ่านหิน ซึ่งตนกำลังทำวิจัยเรื่องนี้อยู่ เรื่องที่พูดกันถึงการยกเลิกใช้ถ่านหิน เมื่อไปค้นดู มีการเขียนเรื่องนี้อยู่ในเอกสารของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม Thailand’s Long- Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy ปี ค.ศ. 2022 บรรทัดเดียว บอกว่าปี ค.ศ. 2040 ไทยจะลดการใช้ถ่านหิน 68% ปี ค.ศ. 2050 จะยกเลิกการใช้ถ่านหิน แต่พอลงไปดูนโยบายภายในของรัฐกลับไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่ฉบับเดียว ในยุทธศาสตร์ชาติก็ไม่มี แผนการลดก๊าซเรือนกระจกก็ไม่มี แผนของเรื่องสิ่งแวดล้อมก็ไม่มี PDP 2024 ก็ไม่มี แถม PDP ตอนนี้ก็ยังมีการใช้ถ่านหินอยู่ กลายเป็นว่า เขียนในตัวรายงาน แต่ความเป็นจริงในนโยบายภายในกลับไม่มี นี่ก็เป็นตัวอย่างของการไม่สอดคล้องต้องกันเรื่องนโยบาย, ดร.ภาคภูมิกล่าว
อย่างไรก็ตาม ดร.ภาคภูมิ กล่าวว่า ในร่าง พ.ร.บ. ก็มีเรื่องใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะเรื่องการรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่จะบังคับให้รายงานข้อมูลทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน โดยเฉพาะภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เรื่องคาร์บอนเครดิต พ.ร.บ.นี้เพิ่มภาคบังคับโดยจะมีการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซคาร์บอน อุตสาหกรรมไหนปล่อยเกินเพดาน ต้องมีมาตรการลด ลดไม่ได้ ต้องซื้อเครดิตในตลาด มีเรื่องภาษีคาร์บอน เก็บจากกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอนเยอะๆ และภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน
“ถึงจะมีหลายเรื่องที่เป็นเรื่องใหม่เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต และมีข้อกำหนดเรื่องนี้เยอะอยู่ในร่างพ.ร.บ. ก็มองว่าคาร์บอนเครดิตไม่ใช่พระเอกในพ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นเพียงมาตรการเชิงเศรษฐศาสตร์ มาตรการจูงใจ แต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ มันต้องเน้นเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรม มันต้องลดเข้มข้นขึ้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน
“คาร์บอนเครดิตต้องระมัดระวังเรื่องฟอกเขียว มันเหมือนคุณทำบาปแล้วมาซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อลบล้าง มันไม่ใช่ ต้องตรวจเพื่อให้มั่นใจว่าคาร์บอนเครดิตนั้นคุณภาพดี เช่น ปลูกป่า ฟอกเขียวส่วนใหญ่จะเกิดในภาคป่าไม้ ปลูกจริงหรือเปล่า หรือเอาป่าเสื่อมโทรมมา ต้องปลูกแล้วอยู่ได้ร้อยปี ไม่ใช่ปลูกแล้วสิบปีตัดทิ้ง และอีกประเด็นสำคัญที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่มีการพูดถึงเลย ก็คือเรื่องการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม“ ดร.ภาคภูมิกล่าว
ดร.ภาคภูมิ กล่าวว่า ในการทำแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ใหม่ ควรมีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน อนาคตการลดเชื้อเพลิงฟอสซิลต่างๆ จะเป็นเรื่องสำคัญมาก และควรต้องประสานกับหน่วยงานที่ทำแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ กำหนดแนวทางให้สอดตล้องกัน
ในแผนแม่บทการผลิตไฟฟ้าของประเทศหรือ PDP ปัจจุบันถ่านหินก็ยังมีอยู่ เรื่องยกเลิกภาครัฐ ก็ต้องกำหนดให้ชัด ถ้าไม่ชัด คนทำงานก็ทำไม่ได้ อนาคตระบบไฟฟ้าต้องเปลี่ยน ปัจจุบันเราเน้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ต่อไปไม่ต้องเอาแบบนั้นแล้ว เรากระจายอำนาจ มีโซลาร์ติดตามบ้าน มีโซลาร์ชุมชน ชุมชนขายไฟ อนาคตเราควรพัฒนากฎระเบียบต่างๆ เอื้อต่อแนวทางนี้ม ดร.ภาคภูมิกล่าว
ทางด้าน ผศ. ดร.ชล บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG Move คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เรื่องการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเป้าหมายที่ 13 จาก 17 เป้าหมาย ของการพัฒนาที่ยั่งยืน ปลายทางของทุกเป้าหมายก็คือ ทำอย่างไรให้คนมีชีวิตที่ดีอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ก็ดูแลรักษาโลกให้ยังคงเป็นระบบที่อุ้มชูมนุษย์ทุกคนได้อยู่ ทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องพลิกโฉมเศรษฐกิจ พลังงาน อุตสาหกรรม การคลัง เมือง การผลิตการบริโภค อื่นๆ อีกมากมาย ที่สำคัญคือต้องมีความสมดุล ยืดหยุ่น ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ผศ. ดร.ชล กล่าวว่า เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก ก็วิกฤติพอๆ กับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากการประเมินล่าสุดเมื่อกันยายนที่ผ่านมาพบว่ามีแค่ 17% ของเป้าหมายย่อย จาก 169 เป้าหมายที่มีโอกาสสำเร็จในปี ค.ศ. 2030 และประมาณ 50% ก็คือหยุดนิ่ง ไม่ก็ถอยหลัง ประเด็นที่ถอยหลังมากๆ เป็นประเด็นเรื่องการเกษตรและประเด็นเรื่องทะเล ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง
สถานะของประเทศไทย เป้าหมายเรื่องอาหารกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถดถอยกว่าเมื่อปี ค.ศ. 2015 ทั้งด้านการลดผลกระทบและการปรับตัว เมื่อโยงไปเรื่อง COP29 มีเรื่อง NDCs ที่ต้องเพิ่มความทะเยอทะยานมากขึ้นกว่าเดิม เรื่องการทำให้มีตัวชี้วัดด้านการปรับตัวระดับโลก ซึ่งตอนนี้ยังขาดอยู่ เรื่องของก๊าซมีเทนที่เกี่ยวพันกับขยะของเสียที่ย่อยสลายได้ Organic Waste และเรื่องการทำให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมทั้วกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอากาศ อันนี้เป็นเทรนด์ที่มาแน่นอน แต่ความบรรลุผลยังอยู่ในระดับที่น่าห่วง, ผศ. ดร.ชลระบุ
นอกจากนี้ เรื่องคาร์บอนเครดิตจะมองแยกจาการแก้ปัญหาความยากจนและความหลากหลายทางชีวภาพไม่ได้ จะไปปลูกป่าเชิงเดี่ยวให้ได้คาร์บอนเครดิต แล้วเกิดปัญหาอื่นตามมาไม่ได้ต้องมองความหลากหลายทางชีวภาพด้วย เรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การเปลี่ยนผ่านด้านเกษตรที่เป็นธรรมจำเป็นมาก ทำอย่างไรที่ไม่ให้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เรื่องการปรับตัวจะมองแยกจากบริบทท้องถิ่นวัฒนธรรมชุชน ฐานนิเวศทรัพยากรไม่ได้ม ผศ. ดร.ชลกล่าว
ผศ. ดร.ชล กล่าวว่า เรื่องความรับผิดรับชอบของรัฐบาลจำเป็นต้องมี ไม่ว่าจะในแง่นโยบายโลกร้อนหรือเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ในต่างประเทศ รัฐบาลจะต้องมานำเสนอต่อหน้ารัฐสภาเลยว่า ได้ดำเนินการอะไรเกี่ยวกับเรื่องสำคัญเหล่านี้ สำเร็จตามเป้าหมายแค่ไหน ปัจจุบันยังไม่เห็นความพยายามของรัฐบาลในการที่จะทำให้เรื่องสำคัญเหล่านี้แพร่ขยายไปในสังคมเติบโตจนเกิดเป็น new normal
“อย่างกรณีเรื่องการส่งเสริม Solar roof top ก็ชัดเจน หรือเรื่องการลดและเลิกใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ก็ชัดเจนว่าไม่เห็นมาตรการเหล่านั้น เห็นด้วยว่าหน่วยงานรัฐต้องปรับการทำงานให้เป็นแบบบูรณาการ และขอเสริมว่าควรต้องมีโซ่ข้อกลางเชื่อม เป็น third sector จะเป็นนักการเมืองก็ได้ เป็นนักวิชาการก็ได้ ภาคประชาสังคมก็ได้ มาเป็นตัวเชื่อมให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการ
“เรื่องการพัฒนากำลังคนรองรับทั้งประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็สำคัญ ยังพัฒนาน้อยมากจริงๆ แต่ละด้านของการเปลี่ยนผ่าน ต้องการกำลังคนในทักษะที่ไม่เหมือนกัน ต้องการการเงินที่ไม่เหมือนกัน รัฐบาลต้องดูแลส่วนนี้ด้วย” ผศ. ดร.ชลกล่าว

กระจุกหรือกระจายอำนาจ?
ในการรับมือผลกระทบโลกร้อนที่เป็นความเสี่ยงระดับต้นๆ ของประเทศไทยในเวลานี้ ดร.เสาวรัจ กล่าวว่า เรื่องการพัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติเพื่อลดความเสี่ยง ต้องมีการกระจายอำนาจ แต่ทำงานแบบบูรณาการ ให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติตามแนวทางที่สอดคล้องกับแนวทางของท้องถิ่นได้ ปัจจุบัน อำนาจรวมที่ศูนย์กลาง แต่ทำงานกันแบบแยกส่วน พอถึงท้องถิ่นแล้วแต่ละหน่วยงานต่างฝ่ายต่างทำไม่มีการบูรณาการให้สอดคล้องกัน ในระะยะยาวรัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเลือกตั้งผู้ว่าให้มากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ
ระยะกลาง รัฐควรยกระดับการทำงานแบบบูรณาการ เร่งออก พ.ร.บ. ยกระดับการบริหารงานภาครัฐ ให้อำนาจมากขึ้นกับปลัดบัญชาการ ประมาณผู้ว่า Super CEO มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในการให้คุณให้โทษ เพื่อสุดท้ายจะนำไปสู่ความรับผิดรับชอบ
ในพื้นที่เสี่ยงเช่นเสี่ยงน้ำท่วม น้ำแล้ง ควรต้องตั้งศูนย์วิชาการภัยพิบัติ เพื่อให้พื้นที่มีองค์ความรู้ มีความสามารถที่จะเตรียมการรับมือปัญหา ต้องหาแนวร่วมทางวิชาการเช่น ขอความร่วมมือ JICA Japan International Cooperation Agency สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นที่เก่งมากเรื่องการจัดการภัยพิบัติมาช่วยจัดการองค์ความรู้, ดร.เสาวรัจกล่าว
รศ. ดร.เสรีเห็นพ้องในประเด็นนี้เช่นกัน โดยกล่าวว่า เราต้องการให้ท้องถิ่นสามารถที่จะรู้ด้วยตัวเองในเรื่องของผลกระทบ ถ้าท้องถิ่นไม่เข้มแข็ง จะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะองคพายพข้างบนใหญ่มาก ท้องถิ่นต้องรู้ตัวเองว่าจุดไหนเป็นจุดเสี่ยง จุดเปราะบางของตัวเอง
ฉะนั้น ต้องทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง กระจายอำนาจการบริหารจัดการ วางแนวทางปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยภูมิพลังของท้องถิ่นเอง มีระบบเตือนภัยล่วงหน้า Early Warning มีข้อมูลสถานะความเสี่ยงท้องถิ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เห็นทั้งระยะสั้นที่เป็นปัจจุบัน และระยะยาวที่เป็นอนาคต เช่น น้ำท่วม อากาศร้อน
“การจัดการแบบรัฐบาลเป็นศูนย์กลางบัญชาการทุกอย่างเช่นปัจจุบัน ไม่ทันการ ตัดสินใจล่าช้า แก้ปัญหาไม่ตรงเป้า องคาพยพข้างบนมันใหญ่เกินไป เงินภาษี 29.5% ที่หักคืนกลับไปท้องถิ่น อย่างน้อยเขาจะต้องไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถทำได้เองเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐต้องหันมาทำแค่สนับสนุนงบประมาณ องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญและผู้เชี่ยวชาญ ให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง
“ให้เวลา 3 ปี ท้องถิ่นจะสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติที่จะเกิดได้ ปรับตัวได้ การันตี” รศ. ดร.เสรี หนึ่งในที่ปรึกษาคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติกล่าว

Freelance journalist และอดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์สายการศึกษาและรายงานพิเศษ