ตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา นโยบายด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารส่วนใหญ่มุ่งให้ความสำคัญกับการอุดหนุนราคาสินค้าทางการเกษตรเป็นหลัก ซึ่งพบว่ามีปัญหาและมีข้อจำกัดหลายประการ จึงควรที่ตัวแทนเกษตรกร นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานโยบายได้มีส่วนร่วมในการให้ความเห็นเสนอแนะ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทั้งพรรคการเมืองและประชาชนทั่วไปสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สร้างความมั่นคงทางอาหาร และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและชาวนา, มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) และพันธมิตรร่วมจัดกล่าวถึงเหตุผลในการจัดเวทีนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายฯ ในวันอังคารที่ผ่านมา
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี ได้ประมวลภาพรวมข้อเสนอด้านนโยบายเกี่ยวกับเกษตรกรและความมั่นคงทางอาหารที่รวบรวมจากเว็บไซต์เพจของพรรคการเมืองต่างๆ ณ วันที่ 24 ก.พ. โดยมี 8 พรรคการเมืองที่ได้ระบุถึงเรื่องนี้ ได้แก่ 1. เพื่อไทย 2. พรรคภูมิใจไทย 3. พรรคพลังประชารัฐ 4. พรรคชาติไทยพัฒนา 5.พรรคประชาธิปัตย์ 6.พรรคชาติพัฒนากล้า 7.พรรคก้าวไกล 8. พรรคไทยสร้างไทย และมีบางพรรคการเมืองที่ยังไม่ประกาศนโยบายดังกล่าว
คุณวิฑูรย์ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย ชูเรื่องเกษตรร่ำรวย พักหนี้เกษตรกร ซึ่งรวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย แต่ไฮไลท์คือการชูเรื่อง contract farming ในพืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย และจะมีการขยายไปสู่พืชอื่นๆ เช่น ข้าวโพด มะพร้าว ลำไย ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เน้นเรื่อง 3 ลด 3 เพิ่ม นโยบายคล้ายกับเวียดนาม ลดความเสี่ยงราคา 4 พืชเศรษฐกิจ ลดต้นทุน ชูเรื่องปุ๋ยประชารัฐ เพิ่มรายได้ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เน้นการประกันรายได้จ่ายเงินส่วนต่างพืชเศรษฐกิจ แต่ที่แตกต่างจากพรรคอื่นๆ พรรคประชาธิปัตย์ ชูเรื่องการฟาร์มโคนม นมโรงเรียน และผลักดันเรื่องกองทุนประมง กลุ่มละ 100,000 บาทต่อครัวเรือน ปลดล็อคประมงพาณิชย์ ภายใต้ IUU และการออกโฉนดที่ดิน 1,000,000 แปลง ภายใน 4 ปี
ในส่วนของ พรรคชาติไทยพัฒนา ชูคำขวัญ WOW Thailand เกษตรกรรมยั่งยืน คาร์บอนเครดิต แจกพันธุ์ข้าวฟรี เงินทุนเพาะปลูกพืช ขยายเขตไฟฟ้าการเกษตร บ่อบาดาลขนาดใหญ่ทุกตำบล เพื่อบริโภคและการเกษตร ในขณะที่ พรรคก้าวไกล เกษตรไทยก้าวหน้า เสนอกระดุม 5 เม็ด เรื่องแรกคือ ปฏิรูปที่ดิน ทำเรื่องระบบกองทุนส่งเสริมธนาคารที่ดิน ระบบภาษีที่ดิน แก้ปัญหาเกษตรกรไร้ที่ดิน เรื่องที่สองคือ ปลดหนี้เกษตรกร ยกหนี้เกษตรกรสูงวัย เช่าที่เกษตรกรปลูกไม้ยืนต้น เรื่องที่ 3 คือ ระบบชลประทาน เพิ่มงบ 25,000 ล้านบาทต่อปีเพื่อทำระบบชลประทานท้องถิ่น เรื่องที่ 4 คือ สุราก้าวหน้า อาหารโรงเรียนที่มาจากชุมชน และเรื่องที่ 5 คือ ยกระดับสินค้าที่รับรองมาตรฐานให้เกษตรกรฟรี ท่องเที่ยวเกษตร ส่งออกสินค้าคุณภาพ
ทางด้านของ พรรคไทยสร้างไทย จะเปิดตลาดสินค้าเกษตร ตลาดแปรรูป ปรับโครงสร้าง และผลักดันโครงการ โขง ชี มูล บ่อน้ำ 1 ล้านบ่อ บาดาล 1 แสนบ่อ เกษตร BCG Model แก้ปัญหาสิทธิที่ดิน ปฏิวัติการใช้ที่ดิน สปก. ตั้งกองทุนวิสาหกิจชุมชนเพื่อเกษตรกร รองรับการลงทุนเพื่อการพัฒนาการเกษตรของเกษตรกร ในขณะที่ พรรคชาติพัฒนากล้า ชูเกษตรสร้างชาติ เพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยี – อุตสาหกรรม เกษตรพรีเมี่ยม ใช้เทคโนโลยีช่วยเกษตรแปรรูป โดยเสนอระบบ cloud factory สอนเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่แค่ผู้ผลิต ด้วยการค้าขายออนไลน์ การรวมกลุ่มบริษัทที่ผลิตสินค้าเกษตรกร และผลักดันเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
และในส่วนพรรคเพื่อไทย จุดสำคัญคือ เรื่องราคาสินค้าเกษตรให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เน้นรายได้เกษตรกรที่เคยสร้างรายได้ 10,000 บาท/ไร่/ปี เพิ่มเป็น 30,000 บาท/ไร่/ปี เสนอการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เกษตรแม่นยำ AI มาช่วยในการเกษตร มีการปรับปรุงหน้าดิน และใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) มาใช้ในการขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ทลายการผูกขาดในธุรกิจและอุตสาหกรรมที่กีดขวางความคิดสร้างสรรค์ของรายเล็กรายย่อย เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ผลไม้ แก้ปัญหาเรื่องระบบจัดการน้ำด้วยการสร้างคลองเชื่อมแม่น้ำสายหลัก อ่างเก็บน้ำแก้มลิง
เปิดผลงานวิจัย “สถานการณ์ความยากจนของเกษตรกรไทย” นโยบายเงินอุดหนุนเกษตรกร วงจรหนี้สินความยากจน ประชานิยมพรรคการเมือง
วรดร เลิศรัตน์ นักวิจัย 101PUB – 101 Public Policy Think Tank นำเสนอผลการศึกษาที่สำรวจสถานการณ์ความยากจนของเกษตรกรไทย เพื่อชี้จุดบอดของนโยบายเงินอุดหนุนในปัจจุบันที่ยิ่งทำก็เหมือนยิ่ง ‘ขุดหลุมฝังประเทศ’ ลงสู่วงจรแห่งความยากจนและความเหลื่อมล้ำผ่านการใช้งบประมาณเพื่อการอุดหนุนของรัฐบาล โดยมีการอุดหนุนราคาสินค้า 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด ซึ่งใช้งบประมาณอุดหนุนรวมทั้งสิ้น 4.6 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ย 1.5 แสนล้านบาท/ปี แต่ชีวิตของเกษตรกรก็ยังยากจน
คุณวรดรจึงตั้งคำถามว่า นโยบายเงินอุดหนุนช่วยเกษตรกรได้จริงหรือไม่ โดยผลสำรวจชี้ว่า มีเกษตรกรจดทะเบียน ณ เดือนสิงหาคม 2022 ราว 9.2 ล้านคน คิดเป็น 13.9% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ และมีครัวเรือนเกษตรกรทั้งสิ้น 8 ล้านครัวเรือน หรือ 29.0% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด โดยจำนวน 9.2 ล้านคนนี้ ถือเป็นกลุ่มอาชีพที่ยากจนที่สุด ซึ่งร้อยละ 11.4 เป็นคนยากจน และร้อยละ 27 มีรายได้ไม่พอรายจ่ายที่จำเป็น 42% มีรายได้หลังหักรายจ่ายที่จำเป็นไม่พอชำระหนี้และลงทุนทำเกษตรรอบถัดไป นอกจากนี้ 34% ยังมีหนี้สินคงค้างมากกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่ถือครอง ซึ่งเท่ากับเสมือนล้มละลายไปแล้วด้วย ปัญหาความยากจนดังกล่าว มีสาเหตุเพราะการทำเกษตรมีรายได้ต่ำมาก ในปี 2017-2021 ครัวเรือนเกษตรกรมีกำไรจากการเกษตรเฉลี่ยเพียง 73,974 บาท/ปี หรือ 202.7 บาท/วัน น้อยยิ่งกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่ 328-354 บาท/วัน/คน ซึ่งหมายความว่า ถ้าคำนวณค่าแรงเกษตรกรในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นต้นทุนด้วย พวกเขาก็จะขาดทุน
คุณวรดร กล่าวต่อว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก 3 ส่วน ได้แก่ 1. ปัญหาแรกและพื้นฐานที่สุดคือ เงินอุดหนุนฝังเกษตรกรให้ติดอยู่ใน ‘วงจรความยากจน’ ระยะยาว 2. เงินอุดหนุนช่วยไม่ตรงจุด เข้ากระเป๋าเกษตรกรรายใหญ่ มากกว่ารายย่อย และ 3. เงินอุดหนุนไม่ยั่งยืน ช่วยเกษตรกรได้น้อยลง แต่ใช้งบเพิ่มขึ้น ถ้าเราคิดค่าแรงเกษตรกรเป็นต้นทุนทำเกษตร เกษตรกรขาดทุนเยอะมาก เกษตรกรจึงอยู่ในภาวะยิ่งทำยิ่งจน
“นโยบายเงินอุดหนุนแม้จะชูเป็นนโยบายสำคัญในช่วงหาเสียง เป็นนโยบายประชานิยมแต่ก็มีปัญหาหลายอย่าง ทำให้ตัวเกษตรจนมากขึ้น เหลื่อมล้ำมากขึ้น ประเทศมีหนี้สะสมมากขึ้น เพราะในทางทฤษฎี เมื่อกล่าวเรื่องการขาดทุนของเกษตรกร มันคือการชี้ให้เห็นของความไม่เหมาะสมของการลงทุน ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ คุณภาพสินค้าต่ำ และการปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็มีความเสี่ยงสูงในการบีบให้เกษตรกรไร้ทางเลือกในการจัดการผลผลิตในพื้นที่ดินของตนเอง ระบบโครงสร้างการทำเกษตรปัจจุบันผลักดันให้ขาดทุนเงินอุดหนุน จึงเหมือนเป็นการปัญหาระยะสั้นที่ไม่มีทางสิ้นสุดและไม่ช่วยให้เกษตรกรหลุดออกจากวงโคจรความยากจน”
“ดังนั้น นโยบายเงินอุดหนุนเกษตรกรจะสร้างปัญหาระยะยาว เพราะเงินเหล่านี้รัฐบาลนำมาจากเงินกู้นอกงบประมาณและไม่ผ่านการพิจารณาในรัฐสภา และแต่ละปีกู้เงินมามากกว่าใช้หนี้ เบียดบังศักยภาพทางการคลังที่ควรจะใช้งบประมาณบริหารประเทศให้มีประสิทธิภาพ” คุณวรดรกล่าว
เขากล่าวว่า ข้อเสนอสำคัญคือ เกษตรกรควรได้รับการเติมรายได้จากสวัสดิการในฐานะสวัสดิการพลเมือง เพราะคนจนทุกคนไม่ได้เป็นเกษตรกร และเกษตรกรทุกคนไม่ได้เป็นคนจน ให้ประชาชนทุกคนที่จำเป็นเข้าถึงเพียงพอ ควรจูงใจให้เงินสนับสนุนบางอย่างผูกกับเงื่อนไข ปรับปรุงการเกษตรเพื่อการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องของสวัสดิการเกษตรกรนั้นต้องทำเป็นตาข่ายทางสังคมเชื่อมกับสวัสดิการอื่นๆ นโยบายที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน เพราะการมองการแก้ปัญหาเกษตรกรทุกวันนี้เน้นที่นโยบายอุดหนุนเกษตร ซึ่งเป็นนโยบายที่เน้นแต่จะเติมรายได้ระยะสั้น แต่ไม่ช่วยเหลือเกษตรกรให้ออกจากวงจรที่ก่อให้เกิดหนี้สินได้จริง
นโยบายด้านการเกษตรระยะยาวและการกระจายอำนาจ
ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ วิเคราะห์นโยบายและข้อเสนอนโยบายเกษตรของพรรคการเมืองว่า มีทั้งดีขึ้นและน่าเป็นห่วง เห็นตรงกันว่า เรื่องการอุดหนุนภาคเกษตรส่งผลลบมากกว่าบวก แต่ปัญหาใหญ่ที่คิดในฐานะสภาเกษตรกรฯ นโยบายยั่งยืนนั้น คือ นโยบายระยะยาวไม่มีใครนำมาหาเสียง เพราะนโยบายประชานิยมเฉพาะหน้ายิ่งใหญ่มาก เรื่องหนี้สิน ค่าครองชีพ เป็นหัวใจในการได้คะแนน พรรคการเมืองแก้ปัญหาได้ทันควันคือสิ่งที่จะได้เสียง
สิ่งที่ควรทำ คือ เสนอให้พรรคการเมืองมีแนวทางนโยบายที่อุดหนุนระยะสั้นและแนวทางนโยบายระยะยายควบคู่กันไป เพราะพรรคการเมืองมักจะบอกว่านโยบายด้านการเกษตรนั้นส่วนใหญ่บอกว่า “ดีมาก น่าทำ แต่ยาวไป” นโยบายที่ดี ที่ควรทำในระยะยาวและยั่งยืน ต้องค้นหาให้ได้ถึงรากปัญหา แต่ปัญหาสำคัญที่ทุกพรรคยังคลุมเครือคือ “ที่ดินทำกินเกษตรกร” เกษตรกรอยู่ในพื้นที่ของรัฐมากกว่า 1 ล้านครัวเรือน พื้นที่ สปก. 3 ล้านครัวเรือน รวมกันเป็นครึ่งหนึ่งของเกษตรกรในประเทศไทยที่ไม่มีสิทธิในที่ทำกินและไม่สิทธิทางกฎหมาย ดังนั้น นโยบายที่นำเสนอมาของแต่ละพรรคจึงทำไม่ได้จริงในหลายเรื่อง เพราะเกษตรกรจะติดเรื่องสำคัญคือ การไร้สิทธิในการทำเกษตรกรรมในพื้นที่รัฐหลายรูปแบบ เช่น การปลูกพืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด แต่ไม่สามารถปลูกพืชไม้เศรษฐกิจยืนต้นได้เพราะจะติดเรื่องนิยามพื้นที่ป่า เช่น การปลูกไผ่หรือการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การทำโรงงานแปรรูปในบางพื้นที่ก็ทำไม่ได้เพราะปัญหาเรื่องที่ดิน เอกสารสิทธิ เกษตรกรหลายล้านครัวเรือนถูกจำกัดสิทธิเพราะพื้นที่ไม่เปิดโอกาสให้ ติดปัญหาการขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ
“ถ้าเราแก้ปัญหารากเหง้าเรื่องนี้ไม่ได้ ก็เดินหน้าไม่ได้ 1 ล้านครอบครัวถูกจำกัดสิทธิ การแปรรูป การทำ SMEs ถูกจำกัดด้วยกฎหมายปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2518 ซึ่งล้าสมัยไม่เหมาะกับสังคมที่เปลี่ยนแปลง มีพรรคเดียวที่พูดถึงบ้างคือก้าวไกล แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด ส่วนพืชเศรษฐกิจ พืชไร่ 4 ชนิด มีปัญหาและจะมียาวนานต่อไป ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าตัดงบเกษตรกร 4 ตัวนี้ ความจริงเชิงประจักษ์ก็คือ ประเทศไทยมีสินค้าเกษตรอื่นๆ การปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ควรมาปรับใช้ผสมผสานด้วยกัน การทำเศรษฐกิจคู่ขนานถึงจะรอดได้ หมายถึงเ กษตรกรสามารถออกแบบการใช้พื้นที่ได้อย่างสร้างสรรค์และสร้างมูลค่าได้มากกว่าทางเดียวเฉพาะปลูกพืชส่งเสริม ทำให้เขามีรายได้มากกว่า 1 ทาง” คุณประพัฒน์ อดีต รมต.ช่วย กท.กษ. และอดีต รมต. กท. ทส. กล่าว
คุณประพัฒน์เสนอว่า การอุดหนุนเกษตรกรต้องมีนโยบายยั่งยืนระยะยาวด้วย มีทางเลือกการเกษตรมากกว่า 1 อย่าง กระจายอำนาจ ส่งเสริมการเกษตรให้ท้องถิ่นมีอำนาจ ให้บทบาท อบจ. อบต. ได้ทำ ทุกวันนี้เขาไม่สามารถทำได้ รัฐอ้างว่างบประมาณซ้ำซ้อน งบการส่งเสริมยังกระจุกที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ การแก้ไขจึงควรทำที่ท้องถิ่นมากกว่าส่วนกลาง เพราะส่วนกลางตอบโจทย์พรรคการเมืองมากว่าเกษตรกร ในเรื่อง พ.ร.บ.ที่ดิน ต้องปรับให้ทันสมัยให้เหมาะสมกับสภาพสังคม เห็นอนาคตในระยะยาว พรรคที่น่าสนใจคือพรรคก้าวไกลที่ให้ความสำคัญกับเรื่องปฏิรูปที่ดิน การกระจายที่ดิน การเช่าพื้นที่ปลูกไม้ยืนต้น อาจมีปัญหาทางกฎหมาย เช่น พื้นที่ที่รัฐอนุญาตทำกินได้ แต่ไม่สามารถปลูกไม้ยืนต้นเพราะจะถูกป่าไม้ยึดที่คืน ติดคำนิยามว่า “ป่า” ในกฎหมายรัฐ การทำเกษตรครอบคลุมสินเชื่อการปลูกต้นไม้ด้วย การเน้นนโยบายที่มีความยั่งยืนควรปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงสัตว์และปลูกไม้ยืนต้นมากกว่าทำเกษตรเชิงเดี่ยว และอย่างพรรคประชาธิปัตย์เสนอเรื่องโคนม นมโรงเรียน ควรมองให้ไกลถึงการแปรรูปเพิ่มมูลค่านมให้มากกว่านี้ เช่น ทำชีส ทำเนย เป็นต้น
“สิ่งที่เราเสนอหลายเรื่องยากมาก เรื่อง พ.ร.บ เกษตรกรรมยั่งยืน สภาเกษตรฯ เสนอ แต่ถูกตีตก 3-4 ประเด็น ที่จะนำเสนอคือเรื่องการกระจายอำนาจ ประเด็นเรื่องการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น เรื่องอาชีพของเกษตร เรื่องนโยบายต่างประเทศ เรื่องการปรับตัวของกระทรวงเกษตร พรรคการเมืองพูดเรื่องการปรับตัวเกษตรกร เราต้องพูดถึงการปรับตัวของกระทรวงเกษตรด้วย ราคาพืชผล ราคาพืชไร่ ราคา ข้าว น้ำมันปาล์ม ข้าวโพด พรรคการเมืองเขาจะทำให้ราคาสูงได้อย่างไรในเมื่อเราแข่งขันในระดับโลก ต้นทุนเราสูงกว่าต่างประเทศเยอะ เราแข่งขันในราคาโลก อันนี้คือคำถามใหญ่ สิ่งที่เราอยากจะทำคือ หาพืชที่เหมาะสมมาทำมากขึ้น เช่น พื้นที่แห้งแล้งขาดน้ำ สามารถทำปศุสัตว์ ไม้ยืนต้น การใช้ที่ดินควรให้เกษตรกรได้ประโยชน์ตามลักษณะที่ดิน ตามความเหมาะสม” คุณประพัฒน์กล่าว
รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล กรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า วันแรกที่ทุกพรรคไปเป็นรัฐมนตรีเกษตร ทุกคนไม่ว่ามาจากพรรคไหน เขาก็จะได้รับข้อมูลเหล่านี้แล้วปล่อยผ่านไป ในมุมของผม กล้าพูดในฐานะคนปฏิบัติงานจริง สิ่งที่เราไม่เห็น คือปัญหาโครงสร้างการทำงานแบบกระทรวงเกษตรที่เป็นอุปสรรค เสนอว่า ให้ยุบกระทรวงเกษตร เพราะรูปแบบการจัดการแบบกระทรวงไม่ไม่มีประสิทธิภาพ การพูดเรื่องอนุรักษ์ พูดเรื่อง BCG การออกแบบนโยบายเพื่อให้บริหารการเกษตรต้องออกแบบใหม่ ดังนั้นจึงมองว่า ฝ่ายการเมืองไม่ว่าพรรคไหนต่อให้ก้าวไกล ก็คิดได้แค่นี้ ฟังค์ชั่นมันบีบให้ต้องทำแบบเดิมๆ กระบวนการจัดการนโยบายเกษตรทั้งระบบ
ประเด็นต่อมาเรื่องกระจายอำนาจ ทุกวันนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีศักยภาพมากพอ การปฏิรูปต้องเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดได้ ซึ่งกลุ่มนี้จัดงบการบริหารราชการแผ่นดิน ต้องส่งเสริมชาวบ้าน เกษตรกร และพวกเขาควรเลือกผู้ว่าฯเองได้ ต่อมา งบประมาณด้านการเกษตรมันแทรกอยู่ในหลายกรมกองมาก ไปดูว่างบอยู่ในอาหารและยาเท่าไหร่ ไปแทรกอยู่ในกรมอนามัย สนง.เศรษฐกิจฐานชีวภาพเท่าไหร่ เบี้ยหัวแตกแบบนี้ไม่เห็นเอกภาพ เงินอุดหนุนประมง โครงการน้ำมันเขียว ทำไมเราต้องอุดหนุน เพราะประเทศไทยส่งทูน่าอันดับ 1 ของโลก นโยบายของประชาธิปัตย์ เรื่องอุดหนุนประมงท้องถิ่น ชุมชนละ 100,000 บาท เห็นพรรคเดียวที่พูดเรื่องนี้ ชุมชนประมงชาวบ้าน ประมงรายใหญ่ ปัญหาอ่าวไทยไม่มีปลาจับ ไปจับปลาเพื่อนบ้านแล้วเกี่ยวข้องกับค้ามนุษย์
“ผมกำลังจะบอกว่า ทรัพยากรสัตว์น้ำในมหาสมุทรมันไม่ใช่ทรัพยากรสัญชาติไทย ต้องปฏิบัติการตามหลักสากล ดังนั้น เราจำเป็นต้องพูดเรื่องโครงสร้างจัดการนโยบายเกษตร กลไกของรัฐส่วนไหนที่ให้ท้องถิ่นทำ เรื่องไหนกระทรวงทำ รูปแบบสภาเกษตรที่ไม่ใช่หน้าที่ให้คำปรึกษา เราควรทำอย่างไรให้มันทำงานได้ในความเป็นจริง” รศ.ดร.ธนพรกล่าว
นโยบายที่ยั่งยืนและการปรับโครงสร้างการผลิต
รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้รายงานของ 101 Public Policy Think Tank เน้นประเด็นเรื่องช่วงจำนำข้าวใช้ 8.8 แสนล้าน แต่จำนำข้าวไม่ได้มีแค่เงินอุดหนุน ยังมีส่วนที่ขายด้วย รัฐบาลนี้ที่อยู่มา 8 ปี ใช้งบประมาณปีละ 1 แสนล้านเพื่ออุดหนุนเกษตรกร ถ้ารวมตัวเลขการอุดหนุนตลอด 8 ปี มันจำนวนมหาศาล ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ที่ตัวเองว่านัก ปัญหาสำคัญคือเงินมหาศาลเหล่านี้ที่ไปอุดหนุนไม่ได้ไปสู่การพลิกโฉมเกษตรกร มันไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตแบบนี้ ซึ่งในแง่นี้ไม่เห็นว่ามีนโยบายพรรคไหนเสนอเรื่องการแก้ปัญหาที่แท้จริง การวิจารณ์เงินอุดหนุนเกษตรกร ต้องนึกถึงค่าพรีเมี่ยมข้าวในอดีตที่เก็บจากชาวนาด้วย ต้องให้ความเป็นธรรมกับชาวนาเกษตรกรที่รัฐอุดหนุนด้วย อย่างกรณีนโยบายนาอินทรีย์ล้านไร่ก็เลิกไปแล้ว ชาวบ้านก็กลับมาทำนาแบบเก่า มันแสดงให้เห็นว่า การผลักดันงบประมาณไม่มีประสิทธิภาพอะไรที่ทำให้ชาวบ้านเขาสามารถผลิตข้าวต่อได้
ประเด็นที่ 2 เกษตรกรชาวนาชาวไร่ ส่วนหนึ่งก็คือเกษตรกรรายย่อย นโยบายทุกพรรคเลยไม่พูดเรื่องเกษตรกรในพื้นที่ป่าและทะเล คนที่พึ่งฐานทรัพยากรธรรมชาติคนเหล่านี้จะส่งเสริมเขาอย่างไร นอกจากไม่พูดถึงยังมีนโยบายซ้ำเติม คือ BCG ส่งเสริมเอกชนปลูกป่าขายเครดิตคาร์บอน กฎหมายนี้จะไปเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในพื้นที่ป่า ปรับระบบโครงสร้างป่าไม้ที่เกษตรกรรายย่อย เรื่องนี้หายไปเลย นโยบายครั้งนี้ไม่มีใครพูดถึงทั้งที่จะมีคนมากมายที่ได้ผลกระทบ
ประเด็นที่ 3 เรื่องปัจจัยการผลิต การปฏิรูปที่ดิน การกระจาย มีบางพรรคพูดเรื่องธนาคารที่ดินเล็กๆ น้อยๆ ควรจะต้องมีการพูดถึงปฏิรูปที่ดินกันอย่างจริงจัง คิดถึงเรื่องของการพลิกโฉมเกษตรกรเราถึงจะเห็นปัญหา ประเด็นสุดท้าย ไม่มีเกษตรกรแบบเดี่ยวๆ อีกแล้ว เกษตรกรมีชีวิตหลากหลายไม่มีใครปลูกข้าวอย่างเดียว ประเด็นคือ เมื่อชีวิตทำมาค้าขายด้วย เกษตรกรรายย่อยด้วย ต้องมีตลาด ต้องด้นชีวิตหลายหน้า นโยบายที่เกี่ยวข้องกับเกษตรมันต้องครอบคุลมชีวิตถ้วนหน้า การถ่ายโอนมาเรื่องท้องถิ่นจึงสำคัญมาก การมองเรื่องตลาดชุมชน ท้องถิ่น ขยายตลาด
เราต้องการนโยบายครอบคลุมเกษตรกรที่เปลี่ยนหน้าไปเป็นผู้ประกอบการ และนโยบายต้องครอบคลุมเรื่องของตลาด นโยบายต้องสนใจภาพใหญ่ ถ้าเห็นแต่ชาวนาเกี่ยวข้าวอย่างเดียวเป็นนโยบายไม่ได้อีกต่อไป รศ.ดร. ประภาสกล่าว
“ความต้องการเปลี่ยนผ่านพลิกโฉมโครงสร้างการผลิต สังคมไทยไม่สามารถจ่ายเงินแสนกว่าล้านงบประมาณอุดหนุนเกษตรไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนการผลิต ข้อเสนอคือ การอุดหนุนระยะสั้นยังจำเป็นต้องมี เพราะเกษตรกรถูกขูดรีดมายาวนาน เวลาราคาสูงก็ถูกเก็บค่าพรีเมี่ยม ภาษีส่งออก แต่ควรออกแบบการอุดหนุนระยะสั้นให้มีเงื่อนไขเรื่องการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตของเกษตรกรเพื่อรองรับการแก้ไขในระยะยาว ขยายความอุดหนุนเพื่อการพลิกโฉม
“มีวิธีคิดเดิมของพรรคการเมืองได้เสนอเยอะมาก เช่น นาอินทรีย์ล้านไร่ เริ่มต้นได้แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะภาพชัดว่าพี่น้องกลับมาสู่แบบเดิมไม่สามารถขายข้าวแบบอินทรีย์ได้แตกต่างจากข้าวเคมี บทเรียนความล้มเหลวมีตัวอย่างมากมาย ชาวบ้านเองมีบทเรียนประสบการณ์ที่ล้มเหลวและสำเร็จ เช่น การสร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ยโสธร ประกาศเป็นจังหวัดอินทรีย์ บทเรียนตลาดสีเขียวท้องถิ่นที่เชื่อมผลผลิตกับโรงพยาบาล อบต. และเห็นว่าเกษตรกรจำนวนมากผูกติดกับระบบฐานทรัพยากรท้องถิ่น เช่น เกษตรกรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า เราจึงไม่สามารถมองเกษตรกรเพียงแค่รูปแบบการผลิต และการแก้ปัญหาด้วยการส่งเสริมเงินอุดหนุนแบบเดิมๆ” รศ.ดร. ประภาสกล่าว
ดร.ไชยยะ คงมณี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า นโยบายเน้นที่การเมืองมากกว่าการเปลี่ยนแปลงทางเกษตร งานวิจัยล่าสุดที่ทำทั้งประเทศ สรุปว่า ทิศทางนโยบายในอนาคต สิ่งที่เราเห็นคือ โลกกำลังเปลี่ยน ถ้าปล่อยให้เศรษฐกิจดำเนินปกติ ถ้าปล่อยให้ระบบทุนนิยมดำเนินการเต็มฟังค์ชั่น การปรับเปลี่ยนมูลค่าเพิ่ม เปลี่ยนโครงสร้างผลิต โครงสร้างบริโภค ช่วงนี้รัฐบาล 4 ปี จะตอบโจทย์สิ่งที่เกิดขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้าคือ คน 70 เปอร์เซ็นต์จะไม่มีความมั่นคงในอาชีพ พึ่งพาตัวเองไม่ได้ 14 เปอร์เซ็นต์เป็นคนรุ่นใหม่ ภาระของพรรคการเมืองที่ออกนโยบายเพื่อโครงสร้างต้องไปแตะที่ขีดความสามารถ เกษตรกรรมไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหารอย่างเดียว แต่มีปัญหาเรื่องอาหารที่ปลอดภัย ไม่เห็นนโยบายพรรคไหนที่ทำเรื่องอาชีพเกษตรกรมั่นคงได้อย่างไร
ดังนั้น ทิศทางการพัฒนาที่บอกว่า “ปลอดภัย มั่นคง เกษตรผาสุก” ออกจากพืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด ก็ต้องนำไปสู่คำถามว่าไปสู่อะไร การอุดหนุนที่ทุกพรรคทำไปเน้นเรื่อง “รายได้ กับ ต้นทุนปัจจัยการผลิต” แต่แทบไม่มีนโยบายที่มีการอุดหนุนเพื่อการพัฒนา และการเตรียมรับมือวิกฤตทางสภาวภูมิอากาศ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน แม้เกษตรกรบอกว่าจะทำบริโภคในครัวเรือนแต่ต้องแข่งขันในตลาดได้ contract farming ไม่ได้การรันตีเรื่องความมั่นคง และความเป็นธรรม เรื่องของการแข่งขันเราจะเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างไร
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคเกษตร ความไม่มั่นคงทางรายได้อาชีพ ความเสมอภาคมันต้องเกิดให้ได้ มาดูกันที่นโยบายที่เน้นเรื่องปัจจัยการผลิตมากกว่าศักยภาพ จะเห็นว่าทุกพรรคการเมืองยังเป็นโครงสร้างนโยบายเดิม นโยบายไม่ทันกระแสโลก ผู้ผลิตและปลายทางตลาดโลกต้องการคุณภาพและมาตรฐานมากขึ้น
เราจะสร้างอย่างไร? นโยบายที่พรรคการเมือง “การวางรากฐานการเปลี่ยนรูป การเปลี่ยนเกษตรไปแบบใหม่” transformation การเปลี่ยนรูปไปสู่เกษตรยุคใหม่ มั่นคง ผาสุกมากขึ้น รายได้ต้องมาจากการแข่งขันไม่ใช่การอุดหนุน ประเด็นเรื่องการอุดหนุนมันสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง อุดหนุนเพื่อการพัฒนา ปรับโครงสร้าง หรืออยู่ในระบบเกษตรต่อ ราคาเกษตรไม่ได้อยู่ในระบบตลาดจะทำอย่างไร สินค้าเกษตรที่ทำหน้าที่ชุมชนวัฒนธรรมเหล่านั้นมีแนวโน้มจะพัฒนาอย่างไรซึ่งไม่ได้อยู่ในตลาดที่รัฐส่งเสริม
อีกปัญหาสำคัญคือ กลไกการขับเคลื่อนนโยบาย เช่น บทเรียนเรื่องเกษตรแปลงใหญ่ซึ่งเป็นนโยบายที่ดีแต่มีปัญหาทางปฏิบัติ อยากเสนอให้มีการเปลี่ยนการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรมาเป็นการปรับโครงสร้างการผลิต” ดร.ไชยยะกล่าว
รัฐสวัสดิการภาคเกษตร
คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี กล่าวสรุปพร้อมทั้งทิ้งประเด็นให้สังคมได้ช่วยคิดกันต่อว่า เรายังมีปัญหาการผูกขาดระบบการกระจายอาหารที่อยู่ในมือบริษัทขนาดใหญ่ มีการปล่อยให้ควบรวมกิจการ ปล่อยให้ค้าปลีกรายเดียวถือครองตลาดร้านสะดวกซื้อเกิน 80% นโยบายการอุดหนุนการผลิตเชิงเดี่ยวทั้งหลายนั้นไม่ใช่ทำให้เกษตรกรรายใหญ่ได้ประโยชน์เท่านั้น แต่เบื้องหลังคือคงการผลิตเกษตรเพื่อป้อนให้เป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรม การขับเคลื่อนไหว พ.ร.บ. เกษตรกรรมยั่งยืนถูกสกัด
ปัจจุบันเรายังคงมีปัญหาความมั่นคงทางด้านอาหาร เด็กไทยที่ขาดสารอาหารที่ทำให้เตี้ยแคระแกร็น ตัวเลขอยู่ที่ 5.5% สถิตินี้มื่อเทียบกับละตินอเมริกา สถานการณ์ไทยนั้นแย่กว่ามาก ความมั่นคงทางอาหารของเด็กสะท้อนปัญหาระบบโภชนาการและความปลอดภัยในเรื่องอาหาร โดยผลสำรวจล่าสุด ตลาดที่เป็นค้าส่งทั่วไป ผักผลไม้มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานถึง 62% ตัวเลขนี้เมื่อไปเทียบกับประเทศญี่ปุ่นและอเมริกา ประเทศเขายอมรับได้แค่ 2-3% มูลนิธิการศึกษาไทยไปสำรวจ พบ 63% ของเด็กไทยได้รับอาหารที่ไม่ปลอดภัย ตอนนี้อาหารของเด็กมีปัญหามากซึ่งส่งผลต่อสติปัญญาของเด็กด้วย
คุณวิฑูรย์เสนอให้ใช้รัฐสวัสดิการมาตอบโจทย์ปัญหาเรื่องเหล่านี้
“ถ้าเราจะสร้างระบบสวัสดิการที่ทำเกิดเงื่อนไขการเปลี่ยนระบบเกษตรกรรม เปลี่ยนอาหารเด็กให้ปลอดภัย เพียงพอ ประเด็นที่ผมเสนอคือ ใช้โมเดลแบบประเทศเดนมาร์กและหลายประเทศในยุโรป มียุทธศาสตร์เรื่องการปรับเปลี่ยนการผลิตและสร้างความมั่นคงทางอาหาร อย่างปี 2009 ประเทศอิตาลีเปลี่ยนอาหารในโรงเรียนเป็นอินทรีย์ 40% เดนมาร์กก็เช่นกัน เราสามารถแก้ปัญหาวิกฤตเรื่องอาหารของประเทศไทย ลดปัญหาการใช้สารเคมีที่ไม่ปลอดภัยในระบบการเกษตรด้วยระบบรัฐสวัสดิการ” คุณวิฑูรย์กล่าว
ชมบันทึกเวทีย้อนหลัง https://fb.watch/iZG7wFgEvF/
ศิริรุ่ง เป็นผู้ก่อตั้ง The Recorder เสียงอักษร และผู้จัดการชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม